รักทางอินเทอร์เน็ตมีจริงเหรอผมมีคนรู้จักอยู่คนนึง รู้จักทางอินเทอร์เน็ต ก็ปัจจุบันก็เป็นเพื่อนกันเจอกัน คุยกันได้อย่างสบายใจ
แต่ที่แปลกคือ เรื่องของเพื่อนผมคนนี้นี่สิ เค้าก็มีแฟนที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตเช่นกัน และที่แปลกไปกว่านั้น(สำหรับผม) คือเพื่อนผมกับแฟนเค้าไม่เคยได้ยินเสียง ไม่เคยเจอตัวเป็น ๆ และติดต่อกันผ่านทางข้อความมือถือและ msn เท่านั้น และทำไมยังช่างกล้ามาบอกว่ารักกันเป็นแฟนกันซะอีกนะ ในความคิดผม ผมรู้สึกมันตงิด ๆ กับความรักที่ไม่เคยเจอตัวกัน
จับต้องไม่ได้ แทบจะอารมณ์ความฝันแล้วเนี่ย จะเรียกว่ารักทางใจก็ได้ เแต่มันน่าจะเกิดขึ้นกรณีเรามีแฟนรู้จักเจอกัน
ตัวเป็น ๆ มาก่อน แล้วต่อมาเราห่างกันแล้วคิดถึงทางใจ หรืออีกกรณีน่าจะเป็นแบบเราไม่เคยเจอกัน ติดต่อคุยกันถูกคอ
ทางเนต แล้วสุดท้ายมาเจอกัน รักกันเป็นแฟน แต่สองคนนี้ไม่เจอ แต่รัก และตกลงเป็นแฟนกันทั้งคู่ มียังงี้อีกวุ้ย
ผมเลยได้ขออนุญาตทั้งสองคนถามคำถามเสือก ๆ ละลาบละล้วง (ทางจิตใจ) เพื่อให้คลายความเสือกและความสงสัยในจิตใจผมมันหมดไป ลองอ่านดู ๆ สมมติว่าเพื่อนผมชื่อ “มิว” แฟนเค้าชื่อ “โต้ง” นะ
(ประโยคในวงเล็บ เป็นความเห็นผมเอง ฮ่า ๆ)
คำถาม -- การที่คุณสองคนรักกันทางอินเทอร์เนตเท่านั้น โดยไม่เคยได้ยินเสียงหรือเจอตัวเป็น ๆ คุณคิดว่าพอมั้ย สำหรับการคบกันแบบแฟน ถ้าไม่ พอ คุณต้องการแบบไหน
นายมิว – ก็คิดว่าพอในระดับนึงนะ แบบให้คำปรึกษา ที่พึ่งทางจิตใจ แต่ถ้าให้เป็นแฟนแบบจริงจัง คบแค่นั้นไม่พอหรอก มันต้องศึกษาตัวตนที่แท้จิงกันด้วย แค่ข้อความผ่านจอคอมบางทีมันตัดสินอะไรไม่ได้
( ชิ ทำมาพูด แล้วกล้าบอกได้ไงเป็นแฟนกัน)
โต้ง -- ในความคิดเรา ถ้าถ้าเราพอใจอยู่แค่ตรงนั้น มันก็พอ เราไม่ต้องการความสุขทางกาย
ถ้าความสุขทางกายมันแลกกับหลายๆสิ่งที่เราต้องเสีย เราก็ไม่อยากคิดว่ามันคุ้มรึเปล่า
แต่ก็อดเอามาเปรียบเทียบไม่ได้อยู่ดี (แลกไรวะ ตูคิดไม่ออก นึกว่ามีแต่ได้กับได้ อิอิ)
คำถาม -- ความรักที่เป็นอยู่ คือแฟนใช่มั้ย แล้วนิยามของแฟนคืออะไรในด้านการปฏิบิติทางใจและกาย
โต้ง -- นิยามเรา ทางใจ อย่างแรก คือรัก เราตอบไม่ถูกหรอกว่ารักคืออะไร
ทางกาย คือ ดูแล เอาใจใส่กัน ไม่ต้องมาก แค่อยากให้เรารู้ซักนิดว่าเป็นคนสำคัญ ก็พอแล้ว
มิว –คนที่เป็นแฟนกันเค้ารู้สึกกันแบบไหนอะ ถ้ารู้สึกแบบหวงแหน รู้สึกว่าเค้าเป็นคนสำคัญ รู้สึกเป็นห่วง
แคร์ความรุสึกกัน เราก็ใช้คำนั้นได้นะ เพราะเรามีให้เค้าแบบนั้นทุกข้อ
แต่ถ้าหมายถึงเดินจูงมือ ดูหนัง เอากันมันก็คงเรียกแฟนม่ายได้อะ
มันให้ความรู้สึกทางใจม่ายต่างจากคนทั่วไปที่เป็นแฟนกันทุกอย่าง เราว่าเราใช้คำนั้นได้นะ
คำถาม --จากที่ตอบมาคือคุณสองคนรักกันแล้ว แสดงว่ารักกันจากแค่ข้อความเท่านั้นถูกมั้ย
แสดงว่าข้อความสามารถสื่อถึงความรักทั้งหมดทางจิตใจได้สิ
มิว – เราว่ามันสื่อได้นะ ดูอย่างตอนคนที่รักส่งเมสเสจหวานๆมาหา มันรุสึกประหลาดๆ อมยิ้ม มีความสุขนะ
เราว่ามันสื่อได้ แต่บางที่มันก็สื่อผิดอารมนะ บางที่สื่ออารมล้อเล่น มันคิดจิงซะงั้น
โต้ง – เราว่าก็สื่อได้เกือบทั้งหมด บางทีถ้าคุยด้วยคำพูดอาจจะคบกันมาไม่ถึงนี่กะได้นะ
คำถาม -- แล้วปัญหาของคุณคืออะไร ถึงได้มีการเลิกกันหลายครั้ง ถ้าคุณเห็นว่ามันคือความรักแล้ว
โต้ง—ไม่มีเลยซักครั้งที่กรูจะคิดเลิก (โห โบ้ยให้อีกฝ่ายตอบ โคตร ๆ)
มิว --เพราะความเหงา มนุษย์เป็นสัตว์สังคมบนโลกอยู่คนเดียวม่ะได้ มันจะมีอารมที่โหยหา ไขว่ขว้า
ต้องการ สัมผัส ไรแบบนั้น พอมีคนที่เรารัก เค้าให้เราไม่ได้ เราก็ไขว่ขว้าที่อื่น
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า จิตใจมันสำคัญกว่าร่างกาย ถึงได้กลับมาตายรังอยู่ทุกครั้ง ไปไหนม่ายรอด
พอผ่านอารมณ์ไขว่ขว้ามาได้ ก็จะรู้ว่าที่ผ่านมามันโง่ อารมณ์ชั่ววูบนะ แต่มันก็ขาดไม่ได้หรอกนะ เรื่องสัมผัสอะ ทางกายอะ มันต้องไปด้วยกัน สักวันถ้ามันถึงจุดที่แบบถวิลหาสุดๆ จิตใจก็คงฉุดไม่อยู่ละมั้ง (ตอบออกแนว บ้ากาม+น้อยใจมาก)
คำถาม -- แล้วทำไมคุณถึงไม่สามารถเจออีกฝ่ายได้ แม้คุณจะรักและไม่เคยคิดจะเลิกก็ตาม
โต้ง – ขอไม่ตอบ (จบกันเลยวะ คำตอบเนี่ยหละที่จะบ่งบอกถึงว่าเหตุผลที่ไม่เจอกันมันเพียงพอแล้วเหรอ แล้วสุดท้ายตูก็คาใจดังเดิม เวรกรรม)
มีหลายประเด็นให้น่าคิดว่าทำไมนายโต้งไม่อยากเจอ อันนี้จากเดาเอานะ แต่มีเป็นข้อ ๆ เลย
- นายโต้งขี้เหร่ อัปลักษณ์ ไม่กล้าเจอ ขาดความมั่นใจ กลัวอีกฝ่ายไม่ยอมรับ
- มีการโกหกอะไรบางอย่าง แต่มีการพูดคุยกันจนรู้สึกจริงใจมาก ๆ แล้ว เลยไม่กล้าบอกความจริงไป
เพราะเจอกันเป็น ๆ อาจมีการจับได้ว่าโกหก
- นายโต้งเป็นโรคร้าย (ป่าว แช่งนะเออ) ไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียใจ
- นายโต้งยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ การเจอกันมันเป็นการเปิดเผยมากเกินไป
วุ้ย มีอีกเยอะที่จะเดากันไป สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของคนสองคนจริง ๆ ไม่มีใครเข้าใจกันเรื่องเหตุผลในความรักได้ดีเท่าคนสองคนอยู่แล้ว แต่ผมอยากจะบอกว่าความรักเกิดจากความพอใจทั้งสองฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายไม่พอใจ
แล้วเราพอใจว่ามันเพียงพอทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายยังต้องการ และสิ่งที่ต้องการมันเป็นข้อจำกัดจากจิตใจเราเอง มันยากเหรอที่จะลบข้อจำกัดที่เราสร้างขึ้น เพื่อคนที่เรารักจะได้มีความสุข และถ้าคนที่เรารักมีความสุขเราจะไม่ยิ่งสุขไปกว่านี้เหรอ จากความรู้สึกของผม ผมก็พอเข้าใจถึงการปิดตัวเองประมาณนี้ แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ผมถึงได้รู้ว่า
ความประสาทหรือระแวงในบางอย่างมันไร้สาระและทำให้เราหมดโอกาสในการเจอคนดี ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในสังคมที่เราพบปะพูดคุยหรือคนในอินเทอร์เนตก็ตาม เพราะถ้าเราไม่เริ่มเรียนรู้ที่จะเปิดใจแล้วจะมีใครอยากจะเปิดใจให้เรา อยากให้สองคนนี้เจอกันสมหวังแบบในหนังจังเลย แต่ชีวิตจริงมันคงอาจต้องห่างกันไปในอนาคต
เพราะฝ่ายนึงไม่อยากเจอ อีกฝ่ายยินดีเจอ แล้วก็รักกัน ธรรมชาติคนยังไงก้ต้องทั้งกายและใจมันถึงจะสมบูรณ์ในความคิดของผม ไม่ใช่ว่าหมายถึงเอากันได้หรือต้องกอดกัน แต่คนเราก็น่าจะต้องการทั้งรูปธรรม นามธรรม ยิ่งพูดยิ่งยาว สรุปผมดีใจที่รักกัน แต่ผมเข้าข้างนายมิว เนื่องจากนายโต้งรักแต่ไม่ยอมเจอ เพราะเหตุผล??? จบ


No comments:
Post a Comment
Comments are welcome, in English or Thai (I can't read anything else). Anonymous posting is discouraged, unless you'd like to give yourself a name at the bottom of your post, so we can tell who you are.