Showing posts with label Mr Handsome. Show all posts
Showing posts with label Mr Handsome. Show all posts

Sunday, 9 June 2024

Mr Handsome returns


A regular contributor to this blog back in its heyday was Mr Handsome, a young gay Thai living in Bangkok.

When he started writing for the blog in late 2006, he had finished his studies and was taking his first steps into the adult world.

I cannot recall how we met (we never managed to do so in person), but we kept up regular email correspondence while our online friendship lasted.

At the time I provided a English translation to accompany his Thai, though I no longer have the English, as I deleted the posts that appeared on this blog.

Going through old emails, however, I found I still have his original pieces in Thai, and would like to repost them here.

His writing could be caustic, entertaining  and witty, as regular readers noted at the time.

He was a natural talent, and enjoyed sharing his stories. I am not sure if he ever showed his writing to his Thai friends, but Mr H was seldom short of story ideas, and could surprise me with some of the topics he chose.

A prolific contributor, Mr Handsome penned over 50 stories between December, 2006, with an opening piece about his quest to find a boyfriend, and June 2008, when he wrapped up his contributions with a story on Camfrog.

The first of his posts is here. I will put up the others gradually over the next couple of months, under the Mr Handsome label.

Note: Thanks to this site for the Chinatown pic. Most of the images which will illustrate his posts are unrelated, though in a few cases I have found pics which pertain to the subject matter, such as the films which Mr H reviewed back then.

Thursday, 5 June 2008

ครั้งแรกเปิดซิงกับ Camfrog


คนทั่วไปคงรู้จักโปรแกรม camfrog อยู่แล้วหละ ไม่รู้ก็ลองใช้google หาเอา ผมก็ได้ยินมานานมาก ๆๆๆ แล้ว แต่ไม่เคยเล่น

ตอนนั้นมันดังในไทยเพราะว่ามีข่าวเลว ๆ กับโปรแกรมนี้ อาทิเช่น เด็กสาวโดนหลอกไปฟันจากโปรแกรมนี้ ทำให้สังคมเสื่อมโทรมยั่วยุกามมารมณ์

เต้นแก้ผ้าโชว์หน้ากล้อง มีคนหื่นเข้ามาดูไรงี้ แต่ในความคิดผมคือ ผมว่ามันก็แค่โปรแกรมนึงที่คนที่อยู่ในกะลาโลกแคบที่ดันมีอำนาจคงไม่เข้าใจ

เหมือนกับการที่มาต่อต้านหนังโป๊ทั้งที่เป็นเรื่องธรรมชาติไรงี้ สำหรับคนไม่รู้คร่าว ๆ คือ มันเป็นโปรแกรมแชทออนไลน์ผ่านกล้องเวปแคม ซึ่งข้อดีเห็น ๆ 

มันก็คือการสื่อสารออนไลน์ที่ทำให้มีความเพลิดเพลิน แก้เหงา บลา ๆๆๆ และมากกว่านั้นสำหรับคนหูหนวกก็สามารถสื่อสารผ่านโปรแกรมนี้ได้ดีเลย ถูกมะ
 
พอดีช่วงนี้ห่างเหินแฟนเพราะยุ่งเรื่องงานใหม่ ๆ อยู่คนเดียวบ่อยไม่มีไรทำ เลยโหลดโปรแกรมมาดู บวกกับพึ่งได้เวปแคมมา เลยอยากลองใช้กล้อง

MSN ก็ไม่มีใครออนไลน์ งั้นลองโหลดโปรแกรม Camfrog มาละกัน อิอิ

แน่นอนเลย เริ่มต้นแอบงง มันมี chat room list ก็เข้าไปดู สักห้องที่คนเยอะ ๆ อาไรวะ ตกใจ มีแต่คนขี้เหร่เล่น แถมมีผู้หญิงมาเต้นยั่วไปมาหน้ากล้อง

แล้วคนอื่น ๆ ก็ลุ้น ๆๆ ให้ถอด ๆ มีดีเจประจำห้องด้วยคอยพากย์ บรรยาย แถมมีเสียงผู้ชายโหวกเหวกจังวะ

คือโปรแกรมนี้มันจะสามารถคลิกดูกล้องของแต่ละคนได้เลย เพราะงั้นผมก็ไล่ ๆ ดูไป โหมีหญิงหน้าตาดี ๆ ชายหน้าดี หน้าเลวปะปน อืม เกตและ ว่ามันเป็นยังงี้เอง
 
งั้นเข้าห้องเกย์ดีกว่า สนุกกว่าชัวร์มีผู้ชายมาโชว์ อิอิ ลองเข้าไปดู อืม มีดีเจจัดรายการ มีจัดระเบียบด้วยนะ ช่วงกลางวันห้ามชักว่าวหรือเอากันโชว์ มีจำกัดเวลายังกะไปผับเลย ดีเจก็แล้วแต่ห้อง บางห้องดีเจก็สนุกดีเปิดเพลง คุยไปมา ด่ากัน คอยวิจารณ์คนในห้องว่าไอ้นี่ ของใหญ่ ไอ้นั่นหุ่นดี ทักทายทั่วไปก็มี

บางคนเปิดกล้องแต่โชว์หนังโป๊แทน บ้างก็นัดไปเอากันตามธรรมชาติของห้องแชทแนวหื่น
พอดีผมเข้าห้องทั่วไปดี ๆ ไม่เป็น มันไม่สนุก ฮ่า

สรุปโดยรวมก็สนุกดี สามารถแอดชื่อมาอยู่ในลิสต์แลวคุยแบบmsn รวมทั้งถ้าอยากเปิดกล้องดูกันสองคนก็ย่อมได้

แต่เสียดายอยางเดียว ผมคงไม่ทุ่มเทอัพเกรดโปรแกรมเป็นหน้าจอร้อยจอได้ *เพราะมันต้องจ่ายเงิน เลยต้องทนคลิกดูหน้าคนที่ละคลิก อยากดูหลายคนพร้อมกันทำไงเนี่ย หาที่แครกโปรแกรมไม่ได้เลย แอบขี้โกง อิอิ
 
*หมายเหตุ : การเล่นกล้องในแคมฟรอก ผู้ใช้สามารถเลือกดูหน้าคนได้ทีละคน ถ้าอยากดูได้หลายคนพร้อมกัน 100 จอ! ต้องจ่ายเงินอัพเกรดโปรแกรมครับ

Saturday, 10 May 2008

กลัวแม่ตาย

ถ้าอยู่ดี ๆ ไปบอกคนอื่น หรือแม้แต่คนในครอบครัวว่าเรากลัวแม่ตาย คนคงจะเห็นว่าผมประสาทไปเปล่า ๆ

แต่อยู่ดี ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมาอย่างฉับพลันจนรู้สึกใจหายกับความจริงที่ยังไงแม่ก็ต้องจากไปสักวัน
 
ปกติแล้ว แม่ผมอยู่ต่างจังหวัด ส่วนผมอยู่ที่กทม. แต่ว่าผมได้มีโอกาสไปอยู่กับแม่สักพัก ทำให้เกิดความรู้สึกกลัววูบขึ้นมาว่าแม่จะเป็นอะไรไป

ซึ่งความรู้สึกจริง ๆ ของผมยามปกติ คือ ผมรำคาญเวลาแม่บ่นเหมือนเดิมตั้งแต่เด็ก ผมไม่ชอบนิสัยและความเห็นและพฤติกรรมบางอย่างของแม่เหมือนเดิม

แต่สำหรับประเพณีในบ้านของผม แม่จะเป็นคนเผด็จการและจู้จี้ ไม่ชอบฟังความเห็นใคร ฟังดดูแล้วแม่ก็นิสัยไม่ดีนะเนี่ย

แต่แม่มีจิตใจที่ดีและแน่นอนว่ารักลูกจากใจ (มันแหงหละ อุตส่าห์เบ่งออกมาเอง) เพราะงั้นทำให้ข้อเสียของแม่มันดูน้อยมาก

แล้วแม่ก็คือแม่ที่ก็มีชีวิตของตัวเอง เหมือนกับผมที่วุ่นวายกับตัวเอง ผมเลยไม่ได้สนใจไรแม่หรอกปกติ
 
พอดีช่วงนี้แม่ป่วยและอาจต้องผ่าตัด ซึ่งถ้าไม่ผ่าตัดคือทรมานต่อไปจนทนไม่ไหวก็ต้องผ่าอยู่ดี

แต่ถ้าตัดสินใจผ่าตัดเลย ผลออกมาอาจเป็นอัมพาต หรือไม่หาย

หรือ หายแต่กลับมาป่วยอีก ซึ่งโอกาสกลับมาเป็นอีกค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงผลที่ออกมาก็ไม่มีทางไหนที่ดีแบบสมบูรณ์

การผ่าตัดมันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนหนึ่งในครอบครัว ถ้าคิดสภาพว่าแม่ผู้เป็นผู้ดูแลตัวเองและเข้มแข็ง

เกิดผ่าตัดไปแล้วตาย มันคงง่ายสุด แต่ถ้าผลออกมาคืออัมพาต หรือก็คือการตายทั้งเป็น โอ้วว.....อย่าพึ่งไปคิดดีกว่า

เอาเป็นว่าแค่ผ่าตัดแล้วนอนพักฟื้นก็ไม่รู้จะจัดสรรเวลายังไงในการไปดูแลแม่จนกวาจะหายดีเป็นเดือน ๆ
คนในครอบครัวต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำของตัวเอง ซึ่งสิ่งสุดท้ายที่แม่อยากทำ คือขอความช่วยเหลือจากลูก

แต่แม่อยากจะเป็นแต่ผู้ให้และไม่เป็นภาระอะไร เพราะส่วนนึงคือแม่ไม่อยากให้รบกวนให้ใครมาเฝ้าแม่
และไม่ต้องการให้คนมาเป็นกังวลกับตนเอง ขณะที่แม่กลับคิดถึงแต่คนอื่นในครอบครัว ยิ่งคิดก็ยิ่งจิตตก
 
แล้วเมื่อวานผมเกิดอาการรู้สึกวูบขึ้นมาว่าแม่แก่แล้ว เกิดแม่นอนไม่ตื่นขึ้นมาตอนเราไม่อยู่จะทำยังไงดี
เกิดแม่หยุดหายใจตอนกลางคืน ใครจะไปรู้ได้แล้วพาส่ง รพ.ทัน

คิดแล้วน่ากลัวมาก ๆ กลัวจนน้ำตาจะไหลออกมา ไม่รู้ว่านี่คือความรู้สึกที่ขี้ขลาดไปรึเปล่า

การตายมันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตของทกคน แต่ตอนนี้ผมกลัวอนาคตที่มันจะเกิดขึ้นจริง ๆ YY

ตกงานเพราะเลือกงาน

ผมตกงานอีกแล้ว เพราะผมลาออกมาเอง การกระทำดูโง่ แต่รู้สึกว่าตัวเองทำถูกต้องนะ

ผมต้องหางานใหม่ ผมหาจากในเวปหางาน ผมรู้สึกว่าไหน ๆ ก็ออกจากที่เก่าแล้ว

อยากเลือกที่ดีที่สุดในความรู้สึกของเรา ผมอยากสมัครงานอีกสาย ในแขนงใหม่ที่ไม่เคยทำมา

โดยที่ต้องยอมทิ้งประสบการณ์เดิม แต่แล้วไง ผมก็อดทนทำมาเพราะเงินแม้จะไม่ชอบทำ

ผมเลยอยากลองหาอะไรใหม่ ๆ แต่ว่าการหางานครั้งนี้ค่อนข้างสบาย

เพราะผมหาไม่นาน ก็ได้รับการเสนองานมา และกลายเป็นผู้เลือก

แต่อะไรมันไม่ง่ายอย่างที่อยากได้เสมอ เพราะตัวเลือกของผมมีน้อยและคุณภาพไม่ดีเหลือเกิน

บริษัทที่รับผมเข้าทำงานแต่ละที่ เป็นห้องเดียวบ้าง คนทำงานสองคนพึ่งตั้งบริษัท

อีกที่เงินเดือนน้อยไป งานแบบที่ผมไม่ชอบ

อีกที่ไกลบ้านมาก อยู่เกือบนอกเมืองไปแล้ว  อีกที่ผมกำลังชั่งใจว่าจะเอาดีมั้ยเพราะเงินน้อย แต่ค่าคอมมิชชันสูง แต่กลัวขายไม่ได้

เลือกงานชิบตู ก็เลือกไง แต่ว่าคนมันเคยทำงานมาหลายที่ในระยะสามสี่ปี ประสบการณ์มีมาก ก็เลือกมาก ข้อแม้เยอะ

อยากได้ที่ดี ๆ มีข้ออ้าง และสุดท้ายนี้ผมก็พลาดไปทุกงานที่กล่าวมา เนื่องจากการปฏิเสธของตัวผมเอง

บางทีก็อยากจะท้อ แต่ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนท้อแท้ ผมก็มีลิมิตว่าเวลาการตกงานจะหมดเมื่อไหร่

แต่ในความเป็นจริง เราเป็นผู้ร้องของาน เราจึงไม่สามารถกำหนดอะไรได้เองว่า เราจะไม่เอาบริษัทนั้น เพราะรอบริษัทนี้

หรือพูดง่าย ๆ ถ้าผมได้รับเข้าทำงานที่ผมไม่รู้สึกว่าพอใจมาก แต่มันก็คือความเสี่ยงและท้าทายว่า มันอาจจะดีกว่าที่เราคิด

ซึ่งถ้าผมปฏิเสธงานไปแต่ละที่ เพื่อรอสิ่งที่ดีกว่า แล้วเกิดสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมสมควรได้ ณ ตอนนี้ ผมได้ปฏิเสธมันไป ผมก็ย้อนมันกลับมาไม่ได้

และก็ไม่รู้ว่าจะมีที่อนาคตรับเราในเร็ววันรึเปล่า

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมต้องชั่งใจว่าจะเริ่มทำงานซะที โดยเสี่ยงกับงานใหม่ที่รายได้หรือหน้าที่งานไม่พอใจเราที่สุด

แต่มีโอกาสที่จะพอใจได้ (มองโลกในแง่ดี)

หรือว่ารับงานไหนก็ได้ที่เค้ารับเรา เพื่อจะได้พ้นสถานภาพของคนไม่มีงานซะทีวะ!! คิดไม่ตกอีกและ

Tuesday, 29 January 2008

บัตรเครดิต

 สมัยก่อนนานมาก ๆ ผมไม่มีบัตรเครดิต เนื่องจากผมไม่ต้องใช้เงินอะไรมากมาย

 ปัจจุบันมีบัตรเครดิต เนื่องจากมีความสะดวกและมีโปรโมชั่นหลายอยางล่อใจ อาทิเช่น

ถ้าจ่ายด้วยบัตรเครดิตเจ้านี้จะได้ลดราคา 10%

ถ้าใช้จ่ายจะมีคะแนน ถ้าสะสมแต้มครบยอดจะแลกของได้

ถ้าสมัครบัตรใหม่ตอนนี้จะได้ของแถม

ถ้าซื้อตั๋วหนัง ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง เป็นต้น
 
เรื่องของเรื่องก็คือมันสะดวก เพราะไม่ต้องพกเงินเวลาจ่ายของเยอะ ๆ

แล้วก็มักจะมีโปรโมชั่นมาหลอกล่อให้ใช้เงินซะจริง ๆ แต่ข้อเสียมันก็มีสำหรับคนที่จิตใจอ่อนแอ
เพราะบางคนอาจคิดว่า เนี่ยตูมีเครดิตหกหมื่นบาท จะรูดปรื้ด ๆ ได้ แต่อาจลืมนึกถึงตอนจ่ายว่า ไอ้หกหมื่นที่มีเครดิต

ต้องเอาเงินสดมาจ่ายทีหลัง แล้วถ้าไม่มีจ่ายหละ เค้าก็มีผ่อนชำระได้ ดีจริง ๆ เลย แต่ดอกเบี้ยจะค่อนข้างสูงมาก
 
ผมเห็นพี่ที่ทำงานบางคน เค้านั่งผ่อนบัตรเครดิตอยู่เลยหลายเดือน เพราะรูดเพลิน แล้วพอถึงคราวจ่าย ก็ไม่จ่ายเต็ม เนื่องจากไม่มีเงิน

ก็โดนดอกเบี้ยราคาสูงมาก ๆ ไปตาม ๆ กัน  ซึ่งบางคนอาจจะน่าสงสารที่ไม่มีเงิน แต่ที่ประสบพบมา 99% คือ

ไม่รู้จะสงสารดีมั้ย เพราะเค้ามักจะเอาบัตรไปซื้อของฟุ่มเฟือยกัน อาทิ เช่น รูดกินร้านอาหาร รูดซื้อทีวี รูดซื้อเสื้อผ้า เป็นต้น
 
จริง ๆ มันก็เรื่องไกลตัวผมเลยหละ เพราะผมก็ใช้บัตรปกติเพื่อความสะดวกเฉย ๆ เวลาใช้อะไรก็ต้องรู้ว่าต้องมีจ่ายแน่นอน

แต่ว่าผมก็มีบัตรเครดิตอยู่ใบนึง ซึ่งเผลอสมัครเพราะอยากได้ของแถมและโปรโมชั่นบางอย่าง

มีครั้งนึงดันจ่ายเงินเกินระยะเวลาที่ควรจ่าย คือได้บิลมาให้ชำระภายในวันที่ XX แล้วว่าจะไปจ่าย ๆ ดันลืมจ่ายซะนี่

แล้วก็ไม่ได้ทำเรื่องให้หักธนาคารไว้หนะ ก็แค่จ่ายช้าเลยไปสี่ห้าวันเอง แต่วันที่จ่ายระยะเวลามันเกินกำหนดแล้ว

ปรากฎว่าโดนชาร์จค่าปรับ ค่าดอกเบี้ยบ้าบอไรไม่รู้ โอ้โห แพงชิบ

คือผมมีบัตรหลักที่ใช้ประจำเจ้าอื่นอยู่แล้ว ส่วนใบนี้คือมีไปงั้น ๆ รูดไปแบบไม่ถึงพันบาท

รู้มั้ยจ่ายช้าไปสี่ห้าวันโดนคิดดอกเบี้ยเกือบสามร้อยบาท ฟังดูอาจจะน้อย

แต่ลองคำนวณดูว่า สี่วัน จ่ายเงินเพิ่มไปอีกเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ

แล้วคิดดูว่าถ้าจ่ายช้าไป 1 เดือนจะต้องเสียดอกเบี้ยแพงแค่ไหน น่ากลัว ๆ

คนที่ใช้บัตรทั่ว ๆ ไป น้อยมากที่จะมานั่งคิด นั่งอ่านแต่ต้นว่า เค้าคิดดอกเบี้ยอัตราแพงแค่ไหน ยังไง รู้แต่ว่ามันแพง

และคงไม่ใช่ตูที่จะต้องจ่ายถูกมั้ย เพราะงั้นก็จงระวัง อย่าประมาทใช้เงินในอนาคตที่เรายังไม่มีเลยนะจะ จบ

อยากได้รองเท้า


ก็วันนึงเกิดมีอารมณ์อยากได้รองเท้าสีน้ำตาล หนังกลับ ทรงสวย ใส่สบาย ราคาไม่แพง

เพราะรู้สึกว่ากางเกงเรา มันขาดซึ่งรองเท้าสีน้ำตาลที่คิดไว้ ซึ่งใส่แล้วจะต้องแมชกัน ดูดีมีสกุลราศีจับแน่ ๆ เลย

ก็เลยตัดสินใจจะควักตังค์ซึ่งเก็บไม่เคยอยู่เล้ย มาลงทุน กะจะซื้อดี ๆ ไปเลย แต่ถ้าถูกและดี ก็จะยิ่งดีที่สุดในโลก

ก็เลยชวนแฟนไปหาซื้อที่ห้าง แล้วก็เดิน ๆ ๆ ๆ ดู ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ทุกแผนกทุกร้านที่เป็นร้องเท้าไม่มีถูกใจเลยยย
เอาวะ วันนั้นล้มเหลว ๆ ๆ ๆ ชีวิตต้องสู้
 
วันต่อมาไปอีกห้างนึง เดิน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ดู ๆ ๆ ๆ ๆ แฟนก็พยายามชี้นำว่าแบบนี้สวย ลองแบบนั้นสิ

อิอิ แต่รสนิยมของใครของมัน ดูแล้วไม่ถูกใจตูสักคู่ แต่ในที่สุด เจอแล้ว ๆ ๆ ๆ รองเท้าสุดประเสิรฐ ดูดีมีสกุล
เลยบอกพนักงานให้เอาไซส์ที่ใหญ่ขึ้นมาลองใส่ก่อน เพราะที่โชว์อยู่มันไซส์เล็ก ปรากฎว่า แง้ ๆ ๆ ๆ

ไม่มีขนาดที่เหมาะกับเท้าที่ขนาดกำลังดีเหรอเนี่ย สรุปตูตีนโต ใช่มั้ย คงไม่ใช่มั้ง
 
โอเค ยอมแพ้ หลังจากเดินมาขาลากอีกแล้ว ไม่ได้ของ แต่ความหวังยังมี เพราะเริ่มจะเจอสิ่งที่ชอบแล้ว แค่ไม่มีไซส์แค่นั้นเอง
 
หลังจากนั้นพอมีโอกาส ก็ได้ไปห้างอีกห้างหนึ่ง เผื่อว่ารุ่นนั้นของเรา จะมีขนาดที่พอกับทีนของตูในห้างนี้มั่ง

ปรากฎว่าไม่มีแม้แต่รุ่นนั้นจะวางโชว์ เอาวะ ก็ไม่เป็นไร เจออันอื่นอาจสวยกว่าก็ได้ แล้วก็จริงด้วย ๆ ๆ ๆ
เจอคู่สุดประเสริฐอีกคู่นึง ใช่เลย จะควักตังค์ซื้อแล้ว หลังจากลองแล้วถูกใจ โอเค พลิกไปพลิกมา

ด้ายที่เย็บตรงรองเท้ามันมีตำหนิ คือมันเย็บตก เบี้ยว ๆ อธิบายไม่ถูกวุ้ย คือมันมีตำหนินั่นหละ
ถามพนักงานขอคู่ใหม่ ก็ไม่มีอีก ออกแนวเลิกผลิตแล้ว >.< ก็หมดแรง จะเป็นลมไปตรงนั้นเลย (อิอิ เวอร์จิงตู)
 
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ตรงนั้นหละ ฮ่า ๆ เพราะงั้น การไปห้างถัดไป เพื่อดูรองเท้าจึงเกิดขึ้นอีก

ก็ดู ๆ เดิน ๆ แล้วก็ไม่เจอ ไม่มี ไม่ถูกใจ แว้กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จะมีรองเท้าใหม่กะเค้ามะเนี่ย!!!

เดี๋ยวชาติหน้าเกิดใหม่แล้วรวย จะตั้งโรงงานผลิตรองเท้าซะเองเลยยยยยยยยยยยยยยยย  -จบ-

Sunday, 20 January 2008

แต่งตัวตามใจผิดเหรอ?


ผมว่าผมต้องมีปัญหาเรื่องการแต่งตัวแน่เลย มันคงดูขัดกะลูกกะตาคนอื่นละมั้ง

เพราะทุกคนรอบข้างชอบทักผมดังนี้

"ทำไมชอบใส่เสื้อสีจืด ๆ "

"แต่งตัวคุณลุง"

"อันนี้ไม่แมช เหมือนจะดี"

"ควรจะลองแต่งแบบ....คราวหน้านะ จะดูดีเลย"
 
พอชอปปิ้งจะเลือกเสื้อผ้า ก็จะมีคอมเมนท์มาว่า

"เอาแบบเดิม สไตล์เดิมอีกแล้ว เปลี่ยนมั่ง"

"แกเลือกแต่สีทึม ๆ แบบนี้อีกและนะ"

"หัดใส่เสื้อวัยรุ่นมั้ง"
 
แล้วพอผมลองทำตามบุคคลต่าง ๆ ที่แนะนำเรื่องการแต่งตัว ก็จะมีปัญหาดังนี้
 
วันนี้แต่งตัวตามนาย A แนะนำ

นาย A : อืม สวย ๆ ดูดี ๆ

นาย B : น่าจะใส่แบบมีลายตรงจะดีกว่า
 
เลยลองแต่งตัวตามนาย B อีกวันต่อมา

นาย B: อ่า นะ แจ่ม ๆ ๆ

นาย A: เอ่อ...แบบนั้นน่าจะดีกว่านะ แต่ก็พอได้
 
แล้วก็ด้วยนิสัยผมมันเป็นแบบคนดื้อด้านมั่นใจ ไม่สน แม้จะเสียความมั่นใจลึก ๆ ก็จะแต่งตามที่เราชอบ ซื้อเสื้อผ้าตามที่เราต้องการ

แต่ก็ตามคนที่แนะนำนะ คือแบบว่า ถ้าติจริงจัง คือโอเคทำตาม แต่ถ้าแย้งรสนิยม อันนี้ไม่ฟัง หูปิดออโต้เลย

เพราะฉะนั้นผลที่ออกมาก็คือ ผมเป็นคนที่แต่งตัวไม่เหมาะสมกับตัวเองในสายตาของบุคคลรอบข้าง
 
แหม จริง ๆ แล้วรสนิยมผมเนี่ยมันเรียบหรูดูดีมีสกุลนะ ให้ตายเหอะ ไม่เข้าใจกันเล้ยยย
ผิดเองที่เลือกแต่สิ่งดีให้กับตัวเอง อิอิ แต่ยังไงก็รักนะทุกคนที่เตือน

เพราะบางอย่างที่มันดูไม่ดีซะเลยในอดีต เสื้อผ้ารองเท้าทรงผม มันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ โดยอัติโนมัติ เพราะโดนคนกรอกหูทุกวัน

รสนิยมข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนไปมาตามกระแส(ของอารมณ์ตูเอง) ก็หวังว่าโดยรวมมันจะเป็นไปในด้านดีของสายตาคนในโลกที่มองเราละกัน อิอิ

กว่าจะได้งานใหม่


"ง.งานนั้นหายาก ต้องลำบากออกเรือไป ขนส่งจากแดนไกล ใช้น้ำแข็งเปลืองน้ำมัน.."

ไม่รู้จะมาแปลงกลอนของชาวบ้านเพื่ออะไร อิอิ ...ประเด็นคือผมเบื่องานที่เก่าเหลือเกิน

เนื่องจากสาเหตุพื้นฐานคือเงินเดือนน้อยกว่าความสมควรจะได้(ในความคิดของตรู)

ความก้าวหน้าในตำแหน่งปัจจุบัน(ในความคิดของตรู)มันถึงทางตันอับจนหนทางเหลือเกิน ว้าก..

เจ้านาย(ในความคิดของตูอีกแล้ว) ไม่ช่ายยยคนที่ต้องการในระดับที่เรายอมรับได้ ฯลฯ

จะว่าลำบากกายก็ไม่ใช่ แต่ความพอใจของข้าพเจ้าเองย่อมสำคัญที่สุด ถูกมั้ย

เมื่อไม่พอใจ ณ ปัจจุบัน...เมื่อบริษัทไม่ใช่ของพ่อแม่เรา..และเมื่อเจ้าของไม่ใช่ญาติ

ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะลาออก แต่แน่นอนว่าคนที่เริ่มมีความคิดอยู่บ้างอย่างผม ย่อมจะไม่ยอมอยู่ในภาวะ
ตกงาน

โดยการออกทันควัน แล้วมาหางานใหม่ เคว้งคว้างให้ได้อารมณ์ของคนตกงานแน่นอน
เพราะผมเคยทำงานที่แรกแล้วลาออกด้วยความมั่นใจสูง ว่าหางานที่ดีกว่าที่เดิมได้แน่ ผลปรากฎว่า เออ ตูก็หาได้นะ

แต่.........ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ ตอนนั้นอารมณ์คนตกงานเนี่ย  จำได้ดี มันเสียเซ้วว น่าอับอายขายหน้าและมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องลองตกดู

แล้วจะเข้าใจอารมณ์ผม ดังนั้นต้องคิดใหม่ทำใหม่แบบนโยบายนักการเมืองเลย

กระผมจึงจำเป็นต้องมีงานใหม่มารองรับก่อนลาออก เพราะเข็ดกะการลาออกโดยไม่มีงานอย่างที่บอก
อีกทั้งเวลาเราสัมภาษณ์งานที่ใหม่เนี่ย ถ้าสภาวะเราตกงาน ข้อได้เปรียบในการต่อรองรายได้ของเราจะต่ำลงวูบ ๆ

 จึงทำให้ผมเริ่มต้นกระบวนการแอบหางานใหม่คือ สมัครทางเวปไซท์ก่อนระบุเงินเดือนที่เราพอใจ ๆ ๆ ๆ ที่ไหนโทรมานัดสัมภาษณ์ หรือให้ทำข้อสอบ

ผมจะไม่มีวันยอมลาเพื่อไปสัมภาษณ์มันผิดสังเกต ไม่งั้นที่ทำงานที่ทำอยู่ปัจจุบันจะระแวง เอะใจ ไม่งั้นอึดอัดใจตาย ถ้าเค้ารู้ว่าเราจะลาออก

(ยอมรับว่าคนเราต้องเห็นแก่ตัวเองก่อนเห็นแก่บริษัทที่จะออกแล้ว อิอิ) วิธีคือ นัดสัมภาษณ์หลังเลิกงาน หรือตอนพักเที่ยงเท่านั้น

ถ้าที่ไหนมีทำข้อสอบ  ผมจะขอเค้าแบ่งไปทำตอนพักเที่ยง และอาจไปสัมภาษณ์ตอนเย็นหลังเลิกงานหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เป็นต้น

รู้สึกว่าตัวเรานั้นถึก อดทนทรหด เป็นที่สุด ไหนจะต้องเสียค่ามอเตอร์ไซค์ ค่ารถ เพื่อความรวดเร็วไม่ให้ผู้สัมภาษณ์รอเรานาน

ส่วนการลาหยุดจริง ๆ ที่ผมกั๊กไว้หนะเหรอ ก็ต้องเก็บไว้อู้เวลาขี้เกียจไม่อยากไปทำงานดิ อิอิ

มีหลายที่เรียกไปสัมภาษณ์ ซึ่งจากประสบการณ์หางานอย่างแรงกล้า บางทีเหมือนจะดี ติดตรงเงินเดือนต่ำ เผลอ ๆ ต่ำกว่าที่ปัจจุบัน

ทำให้เสียเวลาไปสัมภาษณ์ เสียแรง เสียค่ารถ เซ็งจิตหงุดเงี้ยว จึงทำให้ผมจำเป็นต้องแสดงการกระหายเงินโดนการสอบถามเจ้าหน้าที่

ที่ตอนเค้าโทรมานัดให้ผมไปสัมภาษณ์ว่า "เงินเดือนขั้นต่ำเท่าไหร่ครับ" ถ้ามันต่ำไม่พอใจ ก็จะได้ปฏิเสธไปเลย ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย

และการที่สภาวะเรายังมีงาน มันการันตีได้ว่า เรามีเงินใช้อยู่ ไม่เคว้ง อีกทั้งมีอำนาจต่อรองที่ใหม่ได้เสมอทุกกรณี

และแล้วววววววว วันนั้นก็มาถึง ผมได้รับการตอบรับจากที่ใหม่ในการรับเข้าทำงาน พอรู้ปุ๊ปวัยรุ่นใจร้อนอย่างตู ก็บอกเจ้านาย(ที่จะไม่ใช่เจ้านายตูในไม่ช้า)

ในวันถัดมาทันทีว่าจะลาออก ด้วยความอิ่มเอมเปรมใจ พร้อมกับต้องช่วยเจ้านายสัมภาษณ์คนมาแทนตู อย่างเร่งด่วน เคลียร์งานเก่าให้เต็มที่

เฮ้อ แจ้งล่วงหน้า 1 เดือน ทำตามสัญญาเปะเลยนะ ไม่ผิด ๆ แต่ก็สงสารที่เก่านะ แต่สงสารเราด้วยอยู่แล้ว
ยังไงก็ตาม บ้าย ๆ ลาก่อนที่เก่าซะที ที่ใหม่มาแล้ว แต่จะนรกหรือสวรรค์ต้องรอดูวุ้ย...

Monday, 31 December 2007

รักทางอินเทอร์เน็ตมีจริงเหรอ


รักทางอินเทอร์เน็ตมีจริงเหรอ

ผมมีคนรู้จักอยู่คนนึง รู้จักทางอินเทอร์เน็ต ก็ปัจจุบันก็เป็นเพื่อนกันเจอกัน คุยกันได้อย่างสบายใจ

แต่ที่แปลกคือ เรื่องของเพื่อนผมคนนี้นี่สิ เค้าก็มีแฟนที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตเช่นกัน และที่แปลกไปกว่านั้น(สำหรับผม) คือเพื่อนผมกับแฟนเค้าไม่เคยได้ยินเสียง ไม่เคยเจอตัวเป็น ๆ และติดต่อกันผ่านทางข้อความมือถือและ msn เท่านั้น และทำไมยังช่างกล้ามาบอกว่ารักกันเป็นแฟนกันซะอีกนะ ในความคิดผม ผมรู้สึกมันตงิด ๆ กับความรักที่ไม่เคยเจอตัวกัน

 จับต้องไม่ได้ แทบจะอารมณ์ความฝันแล้วเนี่ย จะเรียกว่ารักทางใจก็ได้ เแต่มันน่าจะเกิดขึ้นกรณีเรามีแฟนรู้จักเจอกัน

ตัวเป็น ๆ มาก่อน แล้วต่อมาเราห่างกันแล้วคิดถึงทางใจ หรืออีกกรณีน่าจะเป็นแบบเราไม่เคยเจอกัน ติดต่อคุยกันถูกคอ

ทางเนต แล้วสุดท้ายมาเจอกัน รักกันเป็นแฟน แต่สองคนนี้ไม่เจอ แต่รัก และตกลงเป็นแฟนกันทั้งคู่ มียังงี้อีกวุ้ย

  ผมเลยได้ขออนุญาตทั้งสองคนถามคำถามเสือก ๆ ละลาบละล้วง (ทางจิตใจ) เพื่อให้คลายความเสือกและความสงสัยในจิตใจผมมันหมดไป   ลองอ่านดู ๆ สมมติว่าเพื่อนผมชื่อ “มิว” แฟนเค้าชื่อ “โต้ง” นะ

(ประโยคในวงเล็บ เป็นความเห็นผมเอง ฮ่า ๆ)

คำถาม --  การที่คุณสองคนรักกันทางอินเทอร์เนตเท่านั้น โดยไม่เคยได้ยินเสียงหรือเจอตัวเป็น ๆ คุณคิดว่าพอมั้ย สำหรับการคบกันแบบแฟน ถ้าไม่ พอ คุณต้องการแบบไหน

นายมิว – ก็คิดว่าพอในระดับนึงนะ แบบให้คำปรึกษา ที่พึ่งทางจิตใจ แต่ถ้าให้เป็นแฟนแบบจริงจัง   คบแค่นั้นไม่พอหรอก        มันต้องศึกษาตัวตนที่แท้จิงกันด้วย  แค่ข้อความผ่านจอคอมบางทีมันตัดสินอะไรไม่ได้  

 ( ชิ ทำมาพูด แล้วกล้าบอกได้ไงเป็นแฟนกัน)

โต้ง -- ในความคิดเรา ถ้าถ้าเราพอใจอยู่แค่ตรงนั้น มันก็พอ เราไม่ต้องการความสุขทางกาย

          ถ้าความสุขทางกายมันแลกกับหลายๆสิ่งที่เราต้องเสีย เราก็ไม่อยากคิดว่ามันคุ้มรึเปล่า

          แต่ก็อดเอามาเปรียบเทียบไม่ได้อยู่ดี  (แลกไรวะ ตูคิดไม่ออก นึกว่ามีแต่ได้กับได้ อิอิ)

คำถาม -- ความรักที่เป็นอยู่ คือแฟนใช่มั้ย แล้วนิยามของแฟนคืออะไรในด้านการปฏิบิติทางใจและกาย

โต้ง -- นิยามเรา  ทางใจ อย่างแรก คือรัก เราตอบไม่ถูกหรอกว่ารักคืออะไร

         ทางกาย คือ ดูแล เอาใจใส่กัน ไม่ต้องมาก แค่อยากให้เรารู้ซักนิดว่าเป็นคนสำคัญ ก็พอแล้ว

มิว –คนที่เป็นแฟนกันเค้ารู้สึกกันแบบไหนอะ   ถ้ารู้สึกแบบหวงแหน รู้สึกว่าเค้าเป็นคนสำคัญ รู้สึกเป็นห่วง

 แคร์ความรุสึกกัน  เราก็ใช้คำนั้นได้นะ เพราะเรามีให้เค้าแบบนั้นทุกข้อ

แต่ถ้าหมายถึงเดินจูงมือ ดูหนัง เอากันมันก็คงเรียกแฟนม่ายได้อะ

มันให้ความรู้สึกทางใจม่ายต่างจากคนทั่วไปที่เป็นแฟนกันทุกอย่าง  เราว่าเราใช้คำนั้นได้นะ

คำถาม --จากที่ตอบมาคือคุณสองคนรักกันแล้ว แสดงว่ารักกันจากแค่ข้อความเท่านั้นถูกมั้ย

                      แสดงว่าข้อความสามารถสื่อถึงความรักทั้งหมดทางจิตใจได้สิ

มิว – เราว่ามันสื่อได้นะ  ดูอย่างตอนคนที่รักส่งเมสเสจหวานๆมาหา มันรุสึกประหลาดๆ อมยิ้ม มีความสุขนะ

             เราว่ามันสื่อได้ แต่บางที่มันก็สื่อผิดอารมนะ บางที่สื่ออารมล้อเล่น  มันคิดจิงซะงั้น

โต้ง – เราว่าก็สื่อได้เกือบทั้งหมด  บางทีถ้าคุยด้วยคำพูดอาจจะคบกันมาไม่ถึงนี่กะได้นะ

คำถาม  -- แล้วปัญหาของคุณคืออะไร ถึงได้มีการเลิกกันหลายครั้ง ถ้าคุณเห็นว่ามันคือความรักแล้ว

โต้ง—ไม่มีเลยซักครั้งที่กรูจะคิดเลิก (โห โบ้ยให้อีกฝ่ายตอบ โคตร ๆ)

มิว --เพราะความเหงา มนุษย์เป็นสัตว์สังคมบนโลกอยู่คนเดียวม่ะได้ มันจะมีอารมที่โหยหา ไขว่ขว้า

         ต้องการ สัมผัส ไรแบบนั้น พอมีคนที่เรารัก เค้าให้เราไม่ได้  เราก็ไขว่ขว้าที่อื่น

          แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า จิตใจมันสำคัญกว่าร่างกาย  ถึงได้กลับมาตายรังอยู่ทุกครั้ง  ไปไหนม่ายรอด

  พอผ่านอารมณ์ไขว่ขว้ามาได้ ก็จะรู้ว่าที่ผ่านมามันโง่  อารมณ์ชั่ววูบนะ  แต่มันก็ขาดไม่ได้หรอกนะ เรื่องสัมผัสอะ              ทางกายอะ มันต้องไปด้วยกัน สักวันถ้ามันถึงจุดที่แบบถวิลหาสุดๆ  จิตใจก็คงฉุดไม่อยู่ละมั้ง (ตอบออกแนว บ้ากาม+น้อยใจมาก)

คำถาม -- แล้วทำไมคุณถึงไม่สามารถเจออีกฝ่ายได้ แม้คุณจะรักและไม่เคยคิดจะเลิกก็ตาม

โต้ง – ขอไม่ตอบ  (จบกันเลยวะ คำตอบเนี่ยหละที่จะบ่งบอกถึงว่าเหตุผลที่ไม่เจอกันมันเพียงพอแล้วเหรอ แล้วสุดท้ายตูก็คาใจดังเดิม เวรกรรม)

มีหลายประเด็นให้น่าคิดว่าทำไมนายโต้งไม่อยากเจอ อันนี้จากเดาเอานะ แต่มีเป็นข้อ ๆ เลย

-          นายโต้งขี้เหร่ อัปลักษณ์ ไม่กล้าเจอ ขาดความมั่นใจ กลัวอีกฝ่ายไม่ยอมรับ

-          มีการโกหกอะไรบางอย่าง แต่มีการพูดคุยกันจนรู้สึกจริงใจมาก ๆ แล้ว เลยไม่กล้าบอกความจริงไป

        เพราะเจอกันเป็น ๆ อาจมีการจับได้ว่าโกหก

-          นายโต้งเป็นโรคร้าย (ป่าว แช่งนะเออ) ไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียใจ

-          นายโต้งยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ การเจอกันมันเป็นการเปิดเผยมากเกินไป

วุ้ย มีอีกเยอะที่จะเดากันไป สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของคนสองคนจริง ๆ ไม่มีใครเข้าใจกันเรื่องเหตุผลในความรักได้ดีเท่าคนสองคนอยู่แล้ว แต่ผมอยากจะบอกว่าความรักเกิดจากความพอใจทั้งสองฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายไม่พอใจ 

แล้วเราพอใจว่ามันเพียงพอทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายยังต้องการ และสิ่งที่ต้องการมันเป็นข้อจำกัดจากจิตใจเราเอง มันยากเหรอที่จะลบข้อจำกัดที่เราสร้างขึ้น เพื่อคนที่เรารักจะได้มีความสุข และถ้าคนที่เรารักมีความสุขเราจะไม่ยิ่งสุขไปกว่านี้เหรอ จากความรู้สึกของผม ผมก็พอเข้าใจถึงการปิดตัวเองประมาณนี้ แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ผมถึงได้รู้ว่า 

ความประสาทหรือระแวงในบางอย่างมันไร้สาระและทำให้เราหมดโอกาสในการเจอคนดี ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในสังคมที่เราพบปะพูดคุยหรือคนในอินเทอร์เนตก็ตาม เพราะถ้าเราไม่เริ่มเรียนรู้ที่จะเปิดใจแล้วจะมีใครอยากจะเปิดใจให้เรา อยากให้สองคนนี้เจอกันสมหวังแบบในหนังจังเลย แต่ชีวิตจริงมันคงอาจต้องห่างกันไปในอนาคต 

เพราะฝ่ายนึงไม่อยากเจอ อีกฝ่ายยินดีเจอ แล้วก็รักกัน ธรรมชาติคนยังไงก้ต้องทั้งกายและใจมันถึงจะสมบูรณ์ในความคิดของผม ไม่ใช่ว่าหมายถึงเอากันได้หรือต้องกอดกัน แต่คนเราก็น่าจะต้องการทั้งรูปธรรม นามธรรม ยิ่งพูดยิ่งยาว สรุปผมดีใจที่รักกัน แต่ผมเข้าข้างนายมิว เนื่องจากนายโต้งรักแต่ไม่ยอมเจอ เพราะเหตุผล??? จบ

Tuesday, 27 November 2007

คนมารยาททรามในโรงหนัง


กระแสเรื่องรักแห่งสยามมาแรงซะ จนผมอยากดูเหลือเกิน อุตส่าห์อดใจไม่อ่านสปอยล์ในกระทู้พันทิพย์หรือเรื่องย่อหรือวิจารณ์อะไรเลยจากเวปต่าง ๆ กะจะบิ้วอารมณ์สุด ๆ

ซึ่งผลก็คือหนังเรื่องนี้สรุปสั้น ๆ คือโดนหลอกจากหน้าหนังที่นึกว่าเป็นรักใส ๆ กุ๊กกิ๊ก แต่กลายเป็นหนังเกี่ยวกับครอบครัว ดราม่ามาก ๆ แถมนอกจากนั้นยังมีตัวเอกที่เป็นเด็กเกย์สับสนสองคนแสดงนำ

พร้อมกับผู้หญิงสองคนที่โชว์หลาบนโปสเตอร์ประหนึ่งเป็นตัวเอก แต่ดันเป็นแค่ตัวประกอบ ซึ่งได้ผลนะเนี่ย เพราะหลอกคนที่อคติเรื่องเกย์ไปดูได้หลายคน

 และตัวหนังก็มีคุณภาพคับจอ ดูจบออกมาหนังจบ แต่ตูยังอารมณ์หน่วง ๆ จิตใจล่องลอย และบางทีมีย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวของหนัง เฮ้อ......หนักอารมณ์ หน่วงใจ จี๊ด ๆๆ.

แต่เนื่องจากมีคนวิจารณ์หนังเรื่องนี้มาเยอะ และในบลอกนี้ก็มีพูดถึงเยอะมากแล้ว ก็จะพูดถึงบรรยากาศในโรงหนังที่ผมไปดู ซึ่งภายในโรงพอถึงฉากจูบกันที ฉากส่งสายตาเกย์ ๆ ของตัวเอกที

ก็จะมีเสียงวีดว้าย อุ๊ยตาย ไม่จริง หรือไม่ก็เฮ้ย หนังเกย์เหรอเนี่ย บลา ๆๆๆ ก็พระเอกหล่อซะขนาดนั้น .....แต่ที่ผมรำคาญและเกลียดสุด ๆ ก็คือกลุ่มเด็กสามตัว

ขอเรียกว่าตัว เพราะว่าเสร่อเดินเข้ามาตอนหนังใกล้เริ่มแบบเสียงดัง สร้างความน่ารำคาญ แถมเหยียบเท้าแฟนผมแบบไร้การขอโทษระหว่างเดินผ่านอีก

เด็กสามคนนั้นประกอบด้วย หญิงสองคนและกระเทยหนึ่งคน ลักษณะคือเด็กม.ต้นกระเทยหัวเกรียน บวกหญิงตัวดำ แร่ด ๆ วัยกะลังเป็นสาว  พูดง่าย ๆ คือกำลังแร่ด กระแดะแบบไม่ลงตัว ขัดลูกกะตา

ซึ่งก็โอเคเด็ก ๆ ก็ต้องมีเสียงดังรบกวนบ้าง และหลังจากส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แกรกกราก ๆ จนเดินผ่านกลุ่มผมไปนั่งข้าง ๆ ผมปั๊บ หนังก็ใกล้เริ่ม ก็มียืนเคารพร้องเพลงสรรเสริญ

ซึ่งระหว่างนั้นสามตัวนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบ พร้อมกับดันเด็กกระเทยหัวโปกนั้นมานั่งข้าง ๆ ผมแทนเด็กผู้หญิง ........ประมาณว่าตูหล่อ ส่งเพื่อนกระเทยมาเชยชม

ซึ่งความกดดันก็เริ่มประทุมาตั้งแต่มันส่งเสียงจุบจิบ ๆ ซึ่งคาดการณืได้ล่วงหน้าว่าจะมารบกวนตอนดูหนังแน่ ๆ และก็จริงดังคาดไว้เลย

 เด็กผู้ชายใจหญิงสะดิ้งเกินชายที่ผมหวาดระแวงไปเองว่าจะมาลวนลามซึ่งคงไม่ใช่ทางกาย แต่เป็นทางสายตา และแล้วมันก็จริงส่งสายตามาลวนลามและโลมเลียเป็นระลอกในช่วงสามสิบนาทีแรกของหนัง

ซึ่งผมก็อคติแบบว่าเลวไม่ชอบส่วนตัว  แต่ผมก็ได้ทำท่ารังเกียจโดนการเอียงตัวไปหาแฟนข้าง ๆ ไม่นั่งกึ่งกลางเก้าอี้ ซึ่งไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ แต่แค่อยากจะแสดงออกให้รู้นัย ๆ ว่าเราไม่ชอบนะ

ถ้ามึงจะมาทำท่าอ่อยเหยื่อแบบไม่ดูตัวเอง ซึ่งผมไม่แม้แต่มองหน้าเค้าเลย แต่ก็ใช้หางตาแอบมองตลอด อิอิ เค้าพยายามเอาแขนมาวางบนที่วางแขนร่วมกันกะให้โดนแขนเรา

แต่ผมก็ยอมลำบากโดยวางแขนบนเป้าตัวเองแทน ไม่วางบนที่พักแขน อิอิ ซึ่งฟังดูก็แค่ความอคติที่เกินพอดีของผม และไม่มีผลอะไรต่อการดูหนัง

แต่เรื่องที่พูดไปทั้งหมดยัง ยัง ๆๆ มันยังไม่ใช่มารยาททราม แต่ที่มันทรามคือเพื่อนสาวของสองตัวนั่น ส่งเสียงจุกกจิก ๆ หมั่นไส้ตั้งแต่ส่งเพื่อนเทยมานั่งไกล้แล้ว

ต่อมาเริ่มมีการคุยกัน อย่างดัง คือเค้าไม่รู้ตัวว่าพูดดังมั้ง ไอ้เราก็ผู้ดีภายนอก ในใจก็ด่านะ แต่ก็ไม่รู้จะทำไง จะไปว่าตรง ๆ ก็กลัวมีเรื่อง บวกดูหนังไม่สนุกกว่าเดิมถ้ามีเรื่องจริงจัง ก็ทน ๆ ไป

 ตัวอย่างประโยคที่เค้าคุยกัน อาทิเช่น “นี่เธอเราว่า หนังนี่มันเป็นอารมณ์จริง ๆ ดีเนาะ” “ว้าย ดูสิไอ้นั่นท่าทางมันเกย์มากเลย”

“อุ้ย หน้าตาอย่างเค้าเป็นเกย์ก็ยังดี ไม่เหมือนมึง” อะนะมีจิกกัดกันเองด้วย แล้วบางครั้ง เพื่อนกระเทยเค้าก็มีความดีอยู่บ้าง คือ บอกเพื่อนเค้าไปว่า “เฮ้ย มึงอย่าพึ่งพูด เงียบก่อน”

หรือ  “มึง ๆๆ หยุด จุ๊ ๆ ๆๆ” มีการปรามให้เพื่อนหุบปากด้วย เพราะบางทีเพื่อนเค้าเองยังรำคาญเลย ฮ่า ๆ  ไป ๆ มา  ๆ ผมโคตรรำคาญเพื่อนหญิงเค้ามากที่พยายามส่งขนมมาให้เพื่อนมั่ง

มาวิจารณ์หนังสด ๆ มั่ง โคตรรำคาญเลย สุดท้ายไม่รู้ทำไง ก็เลยนั่งพุ่งสมาธิดูหนังต่อไป ซึ่งหนังก็ดีสมใจ สุดท้ายหนังก็จบ และทุกอย่างก็จบ

เหนื่อยจากอารมณ์หนัง เหนื่อยจากอั้นฉี่ เหนื่อยจากความหมั่นไส้คนรอบข้าง แต่ก็จบลงซะที เฮ้อ แต่ที่ขอย้ำอีกที หนังเรื่องนี้ดีมากมาย ลองไปดูเองนะ

แต่อย่าคาดหวังว่าเนื้อเรื่องเรื่องราวจะเหมือนกับที่มันโปรโมทนะ คนละเรื่องเลย....

..แต่ขอย้ำว่าคนนั่งข้าง ๆ ส่งเสียงรบกวนเกินสิบห้าประโยคแถมส่งเสียงดังเกินความจำเป็นและรบกวนมาก ๆ ๆ เลย แค้น ๆ ๆ ๆจบ ๆ ๆ

Monday, 12 November 2007

ทำยังไงดี


ทำยังไงดี

 ตามที่รู้กัน ผมไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นเกย์ และแน่นอนว่ามีหลายคนสงสัย แต่ก็นั่นหละผมไม่ยอมรับ ปฏิเสธไม่พูด หนักแน่น

อารมณ์ประมาณว่าใครจะกล่าวหาก็เชิญ ตูไม่ได้เป็นเกย์ ใครจะไปทำไรได้ แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา
 
ผมมีความอึดอัดใจเล็กน้อย แต่ก็เป็นปมด้อยพอสมควรกับการที่ปิดบังนี้ เนื่องจากผมรู้จักเพื่อนหลาย ๆ คน ที่มักจะชอบชวนผมไปเที่ยว

ซึ่งเวลาไปเทีย่วมันก็เฮฮาดี  เมื่อมี่ชวนครั้งที่หนึ่งก็มีครัง้ที่สองก็มีครั้งต่อ ๆ ไป บางทีผมไม่อยากไป เลยอ้างว่าไม่ว่างบ้าง ติดธุระต่าง ๆ บ้าง

นัดคนอื่นล่วงหน้าบ้าง ซึ่งในใจผมแค่ไม่ชอบบรรยากาศหรือการพูดคุยกันสนิทสนม ซึ่งบทมสนทนาของมนุษย์มักจะเข้าเรื่องแต่งงาน แฟน หญิงสาว ชายหนุ่ม

เพื่อนแต่งงาน ใครชอบใคร มันจะมีเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงให้มันเข้าตัวผม ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญของโลก หรือจะมีใครใส่ใจมากนัก

แต่สำหรับตัวผมมันสะกิดใจอยู่เสมอ บางทีก็รู้สึกเจ็บปวดใจอยู่ลึก ๆ ซึ่งจะหาว่ากระแดะก็ได้ แต่ถ้าคุณเผชิญอะไรแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จากที่มันบางเบาก็จะหนักอึ้กขึ้นทันตา

ดังนั้นผมจึงหลีกเลี่ยงการไปเที่ยวกับคนที่น่าจะเพศปกติ ที่เค้าคิดกันว่าผมไม่ได้เป็นเกย์ ด้วยความร้อนตัว และวันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รับปากว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน

แม้จะโดนตื๊อ ๆ ๆ ก็ตาม ไม่ได้รำคาญเพื่อน แต่เบื่อตัวเอง เพราะการไปเที่ยวมันจะมีคนหลายคน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะดีตรงใจเราเหมือนเพื่อนสนิท

 มันจะมีบุคคลที่เราเหมือนจะสนิทด้วย (แกล้ง)คุยเฮฮา ซึ่งทำให้ผมระแวง ซึ่งจะว่าไปผมก็ประสาทไปเอง แต่ในช่วงอารมณ์ที่จิตใจอ่อนแอ กับอะไรหลาย ๆ อย่าง

เวลามีอะไรแบบนี้มันเหมือนเพิ่มความหดหู่ และตอกย้ำปมด้อยในใจลึก ๆ ของเรา และทางแก้ไข ไม่ใช่สังคมต้องยอมรับเกย์หรือผมต้องยอมรับตัวเองเท่านั้น

แต่สิ่งสำคัญคือ ผมต้องยอมรับตัวเองกับคนอื่น และนี่แหละคือปัญหา!!

Friday, 2 November 2007

ว่าด้วยเรื่องการมีเซ็กส์


สัตว์ไม่ว่าจะคนหมาหรือแมวก็ย่อมมีอารมณ์หื่น ๆๆๆ เพียงแต่คนมีสมองและความรู้สึกในการยับยั้งช่างใจไม่ให้เอากันกลางตลาดแบบหมาได้

แม้จะหื่นยิก ๆ ๆ ในใจก็ตามที  ธรรมชาตินี่ก็แปลก ช่างสร้างให้ร่างกายของชายหญิงมาจับคู่กัน โดยชายมีดินสอส่วนหญิงมีรูให้ฉึกฉัก ซึ่งคนที่เป็นเกย์

ก็เป็นคนเหมือนกัน เลยมีเหตุให้ดินสอและดินสอมาเจอะกัน และพยายามหารูที่เสียบดินสอลงให้ผ่อนคลายหายกระสัน

จึงมีกลไกแปลกประหลาดของพฤติกรรมในการหารูลง  อย่างแรกพื้นฐาน ๆ คือปาก เพราะอ้าทีก็มีรูลง ซึ่งชายแท้ บางทีอยากเปลี่ยนบรรยากาศความสนุกเพิ่มความเร้าใจก็เอาแท่งลงปากหญิง เช่นเดียวกับชายชายที่เอาแท่งของตัวเองลงปากกันและกัน ส่วนหญิงหญิงก็หาแท่งเทียมมาลงรูเพื่อให้โลกนี้เกิดสมดุล แต่อะไรที่มันไม่ใช่ 

มันก็ไม่สุข ดังเช่นชายรักชายที่ที่เสียบดินสอ โดยใช้ปากเป็นที่เสียบ แต่ก็นะ มันยังไม่หนำใจ เลยเผลอไผลไปเจอรูขี้เค้า เลยลองเสียบดู บางคนได้ผลปรากฎว่าทั้งเจ็บทั้งเสียว บางคนทั้งชอบมาก ๆ บางคนกลัวมาก ๆ บางคนเจ็บมาก ๆ บางคนฉีกมาก ๆ เมื่อชาวโลกชายรักชายค้นพบได้ดังนี้ รูทวารจึงกลายเป็นอวัยวะเพศไปโดยปริยาย เรียกได้ว่า ทูอินวัน คือทั้งขับถ่ายและมีเพศสัมพันธ์ในรูเดียวเดิม ๆ ได้

แต่อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ค้นพบทองคำที่มีกลิ่นได้ในบางครั้ง

ฝ่ายหญิงรักหญิงไม่น้อยหน้า จะว่าไปก็ได้เปรียบกว่านะ เพราะต่างมีหลุมให้ลงทั้งฝ่ายหญิงรับและหญิงรุก แต่ไม่มีดินสอลงซะนี่
จึงมีการสร้างดินสอเอง จากของปลอมบ้าง บางทีก็เอาของที่เรามีซะเลย คือนิ้วมือบ้าง เพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป
 
ดังนั้นทุกเพศจึงสามารถมีกิจกรรมเข้าจังหวะร่วมกันได้ แม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวยอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าใจพร้อมซะอย่าง อะไร ๆ ก็หามาทดแทนได้ อิอิ

เพื่อน


เพื่อนนั้นมีมากมาย แต่แค่มีเพื่อนดี ๆ ถูกใจหนึ่งคน ยามไม่มีใคร ยามเดือดร้อน ยามเหงา มันก็เป็นสิ่งที่ดีมาก

ใช่...ผมก็โชคดีที่มีเพื่อนดี ๆ หนึ่งคน เป็นเพื่อนที่เราสบายใจไม่ต้องใส่หน้ากากหรือมีฟอร์มอะไร ประมาณว่าโง่ก็ด่าได้ หรือมันด่าผมก็ไม่โกรธด้วย

เพื่อนที่สามารถเล่าหรือพูดอะไรก็เข้าใจง่าย ๆ รับฟัง

แต่ว่าคนนี้ไม่ใช่เพื่อนเที่ยว เค้าไม่ชอบไปเที่ยวเฮฮา ไม่ชอบไร้สาระ เและต่างคนก็สามารถพูดได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยไม่หน้าแหกคิดไปเองคนเดียว

แต่ ๆ ๆ ๆ เพื่อนผมเป็นชายแท้และไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์ นั่นคือเหตุผลนึงที่ทำให้มีบางอารมณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าขาดเพื่อนปรึกษาเรื่องเกย์ ๆ ๆ

ที่เป็นความลับสุดยอด อิอิ แต่ก็นั่นหละ ข้อดีคือไม่ถาม (ไม่เสือกเรื่องส่วนตัวถ้าเราไม่บอก) จึงทำให้ไม่มีข้ออึดอัดด้านการปิดบังไรมากมาย

เพื่อนอีกคนผมต่อมาเป็นหญิงสาว คนนี้ชอบดูหนังโรงมาก ๆ ๆ ๆ คอเดียวกัน เลยทำให้สามารถไปดูหนังด้วยกันได้สองคน แรก ๆ สมัยเรียนก็มีเขิน ๆ เพราะบางทีเพื่อนในกลุ่มไม่ยอมไปดูด้วย แล้วอารมณ์ชายหญิงสองต่อสองนั่งในโรงซึ่งมักจะเต็มไปด้วยคนที่มาเป็นคู่ ๆ บางทีก็กลัวเพื่อนแอบคิดว่าเราชอบมัน แต่ระยะเวลาผ่านไปจนบัดนี้ คือสามารถชวนกันไปสองคนโดยไม่ต้องกังวลในใจ และสนุกพูดคุยกัน กินข้าวดูหนัง ซื้อของไรงี้ได้

ไม่รู้ว่าเรียกสนิทมั้ย คือสนิทแบบไปเที่ยวนัดได้เลย ไม่มีนอกมีใน แต่ว่าทางจิตใจ ทางด้านอะไรลึก ๆ ไม่พูดคุยกัน

 และแน่นอนเรื่องเกย์ ๆ ไม่พูดคุยกัน อาจมีพูดถึงเรื่องผู้ชายเป็นเกย์บ้างตามสถานการณ์พาไป แต่ก็นั่นหละ

เค้าไม่ละลาบละล้วงหรือทำให้ผมอึดอัดในด้านที่ผมปกปิด ก็จัดว่าสบายใจ

เพื่อนผมต่อมาเป็นสาวอ้วน อารมณ์ไม่สวยไม่มีใครมาจีบแน่นอน ที่เล่าแบบนี้จะให้เห็นภาพว่าทำให้คบกันง่าย เพราะชายหญิงยากจะสนิทกัน ถ้ามีเรื่องให้คิดได้ว่าอาจมีใจต่อกัน ต่อ ๆๆ คนนี้บ้าบอ ไปไหนไปกัน สนุกเวลาไปด้วย ไปหลายคนก็สนุก

ก็พูดคุยกันหลายเรื่องในใจ เปิดเผยกันมาก แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเกย์ แต่ถ้าเปิดใจมันก็สนิทกันกว่านี้ แต่แค่นี้ก็สนิทพอสมควร สนิทจนมีเหตุให้นอนค้างห้องเดียวกันได้สองสามครั้ง โดยไม่ต้องกลัวความรู้สึกว่าจะไปปล้ำกัน เพราะอารมณ์คือเค้าก็รู้ตัวว่าเค้าอ้วน เค้าไม่สวย ใคร ๆ ก็คงไม่เอา เค้าก็เลยไม่ระวังตัวแบบที่สาว ๆ ควรจะเป็น

เพื่อนอีกคนคือเกย์ ที่สมัยก่อนผมแอบสงสัยว่ามันเป็นเกย์มั้ย แล้วมันก็คงสงสัยผม แต่มีเหตุให้ได้เปิดเผยกัน โดยเค้ามาบอกผมก่อน ผมเลยรู้สึกดี และอารมณ์พาไปเลยบอกว่าผมก็เป็นเกย์ด้วย ซึ่งตอนแรกไม่ได้สนิทกันมาก แค่รู้ว่าเป็นคนดี ก็คุยได้ 

แต่หลังจากนั้นพอต่างคนต่างรู้ว่าเป็นเกย์ แทนที่จะสนิทกันแน่นแฟ้นกลับกลายเป็นว่า ผมต้องตีตัวออกห่าง เนื่องจากคนที่เคยเป็นผู้ชายในสายตาผม กลายเป็นสะดีดสะดิ้งมากขึ้นเยอะ แถมคุยเรื่องผู้ชายคนนั้นคนนี้ จริง ๆ ถ้าผมรู้จักคนที่เป็นเกย์เลยแล้วคุยเรื่องผู้ชาย ผมคงโอเค ไม่คิดไรมาก 

แต่คนนี้คือภาพลักษณ์ที่มองมันสูญสลายหายวับไปเลย ทำให้เกิดอารมณ์กระแดะภายในจิตใจของผมเอง ที่ “รับไม่ได้” กับเพื่อนคนนี้ แลที่สำคัญมีนิสัยแนวคิดที่เปิดเผยกันมากขึ้น ทำให้รู้ว่าคนละไอเดีย คนละแนว ไม่เข้ากันพอที่จะสนิทได้ (สำหรับผมคนเดียวนะ เพราะเค้าก็ยังมองภาพว่าผมดีกับเค้าเสมอ) แต่หลังจากรู้ว่าเป็นเกย์ทำให้ห่าง ๆ ไป โดยผมหลีกเลี่ยงที่จะห่าง ๆ ๆ ๆ เองหละ ยอมรับว่าเลว แต่มันก็สิทธิของเราที่จะเลือกคบไม่คบใคร ไม่ใช่ว่าเป็นเพศชายชอบชายจะต้องเป็นเพื่อนกันได้ทุกคน ถูกมั้ย?

 ที่พูดถึงคือเพื่อนหลัก ๆ ที่วนเวียน นอกนั้นจะเป็นแบบเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนเที่ยว เพื่อนของเพื่อน คนรู้จัก เพื่อนไม่สนิทนั่นเอง

และบางส่วนเป็นเพื่อนเกย์จากเนตซึ่งสนิทหรือไม่สนิทผมไม่มาเขียนบอกหรอก เพราะถ้าเอ่ยถึงเดี๋ยวมาอ่านแล้วจะรู้ว่าความคิดเราหมด ว่าเราคิดยังไงด้วย อิอิ

ที่เขียนมาซะยืดยาว แค่จะบอกว่าเพื่อนผมจริง ๆ ที่ผมสบายใจที่จะไปไหน หรือปรึกษาด้วย มันมี แต่มีน้อย ๆ ๆ

บางทีก็อยากมีเพื่อนเยอะ ๆ แยะ ๆ เพราะบางบรรยากาศ ก็เหมาะกับการไปไหนมาไหนหลายคน มากกว่าไม่กี่คน

อีกทั้งความเรื่องมากของผมก็คือ คนที่ผมไม่สบายใจจะไปด้วย หรือคบเป็นเพื่อนเที่ยวไปงั้น ๆ ผมก็ไม่ได้อยากไปสังสรรค์อะไรด้วย อารมณ์คือต้องการเพื่อนดี ๆ ถูกคอถูกใจ เป็นเกย์อีกก็ดีมาก หรือถ้าไม่เป็นก็ต้องยอมรับเราได้ แต่คงยากเพราะตัวผมยังคิดไม่ออกว่าจะเปิดใจเปิดเผยจริง ๆ จัง ๆ เรื่องเกย์กับคนที่เป็นเพศชายจริงหญิงแท้ยังไงเลย

ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แล้วตูจะหาเพื่อนแบบที่คาดหวังจากไหนวะ บางคนอาจคิดว่าคาดหวัง ตั้งข้อแม้มากเกินไปแล้วจะมีเพื่อนไรได้มากมาย นั่นก็มีส่วน แต่ว่าความสบายใจเวลาอยู่กับเพื่อนที่สบายใจ มันหาไม่ได้จากปริมาณจำนวนของเพื่อนที่มี

และความสุขที่ได้รับมันก็ย่อมไม่มีสุขเท่าคนที่เราสบายใจ อิอิ พูดให้วกวนไปงั้น

.....ได้มีโอกาสคุยกับคุณเจ้าของบลอก ก็มีแนวคิดคล้ายกัน คือ เราจะหาเพื่อนดี ๆ ได้จากไหน

ซึ่งเค้าก็ยังไม่มีทางออก และผมก็ยังไม่มีทางออก ที่จะหาเพื่อนที่ดี ๆ แบบที่สาธยายไป

คิดง่าย ๆ ถ้าหาตั้งใจหาเพื่อนทางเนต ผมว่ามันก็ดูจริงจังเกิน มันแตกต่างกับหาแฟนในเนตที่แบบนั้นคือไม่มีโอกาสหาในสังคม(อารมณ์หมดทางเลือก เหงาแฟน) เข้าเรื่อง ๆ ....ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมในเนต ตามเวปบอร์ดเกย์หรือต่าง ๆ ทำไมมักจะเป็นสาว ๆ ไม่แมน ไม่ใช่ให้ขนาดบุคลิกผู้ชายทหารแบกปูนโบกตึก แต่คือแค่ไม่ “แร่ด”อะ หายากจัง รวมถึงมีเซ็กส์แอบแฝงในบางกลุ่มบางคน บางจิตใจ  ไม่ได้เหมารวมนะ แต่มักจะเป็นอย่างงั้นจากประสบการณ์ที่เจอ

สรุปคือ รู้ว่าในสังคม ก็ต้องมีคนอารมณ์แบบเรา ๆ ปะปนมากมาย มีคนดีเยอะแยะที่ถูกใจเราสามารถเป็นเพื่อนกับเราได้ แต่...........โอกาสจะเจอกันมันมีน้อย โอกาสที่เราเจอคนที่รู้จักผิวเผินแล้วมีโอกาสสนิทถึงขั้นเพื่อนสนิทมันยาก ไม่เหมือนตอนสมัยเราเรียนที่มีภาระหน้าที่บังคับให้ได้เจอกันบ่อย ๆ จนสนิทและรู้นิสัยกันมาก

 ที่พูดเนี่ยรวมถึงเพื่อนดี ๆ ที่เป็นเพศปกติตามธรรมชาติร่างกายด้วย มันก็ไม่ใช่หาได้ง่าย ๆ หายากเลยหละ นี่ขนาดผมมีเพื่อนดี ๆ มีแฟนแล้วนะเนี่ย  ยังมีอารมณ์อยากมีเพื่อนเพิ่มอีกนะ อย่างงี้จะถือว่าโลภมากไปป่าวเนี่ย...ไว้มีโอกาสจะพูดถึงเพื่อนชายจริงหญิงแท้อีกที –จบซะงั้น--

Thursday, 18 October 2007

พ่อแม่ทั้งแก่ทั้งเหงา


ที่จะพูดถึงคือ ผมรู้สึกได้ว่าพ่อแม่ยิ่งแก่ ยิ่งหลง ๆ ลืม ๆ ยิ่งสุขภาพแย่ลง (โรคคนแก่ทั่วไป) ยิ่งขี้เหงา ยิ่งน้อยใจ ยิ่งต้องการลูกมากขึ้น ๆ

แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่การกระทำหลายอย่าง มันสื่อถึงความรู้สึกว่าพ่อแม่ต้องการลูกมาก ๆ กว่าเดิม
 
บางทีทำให้รู้สึกผิดลึก ๆ ไม่ได้ ที่เราไม่ได้ไปหาหรือใช้เวลากับพ่อแม่บ่อย ๆ  

ไม่รู้ว่าวัฒนธรรมฝรั่งเนี่ยมันต่างกับคนไทยมั้ย เพราะเห็นในหนังหรือเค้าพูดกันจะอารมณ์ประมาณว่า ตอนแก่ ๆ ต้องเลี้ยงตัวเอง ลูกหลานแยกตัวออกไป

แต่สำหรับคนไทย มันไม่ใช่ ลักษณะคือจะไม่เป็นเอกเทศที่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องอยู่กันเองได้ จะต้องมีลูกเป็นตัวประกอบในครอบครัวด้วย.....ครอบครัวไทยโดยมากจะถูกฝังหัวให้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ตัวเอง ให้ดูแลเอาใจใส่ ซึ่งเป็นสิ่งดีแน่นอน

เพียงแต่ผมคิดว่า ผมไม่สามารถตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ได้ เริ่มต้นจาก ผมไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าผมเป็นเกย์ พ่อแม่เสียใจแน่นอน

แม้เราจะไม่ได้ทำผิดก็ตาม  ทำให้มีปมด้อยตามมาคือ ไม่สามารถแต่งงานได้ (อนาคตผมคงจะต้องกลุ้มใจเรื่องแต่งงานกับพ่อแม่มาก ๆ แน่ ๆ)
 
ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง เพราะบอกตามตรงว่า ถ้าจะให้อยู่กับพ่อแม่จริง ๆ ผมก็เบื่ออออออ

แต่พอห่างก็สงสารเป็นห่วง และรู้ว่าไม่มีใครจะช่วยตอบสนองทางจิตใจพ่อแม่เราได้ นอกจากลูกเท่านั้น
 
เคยคิดว่า ถ้าพ่อแม่วันนึงเกิดโดนโจรปล้น หรือหัวใจวายหรือมีอุบัติเหตุไรในบ้าน จะมีใครช่วยได้ทันท่วงทีมั้ย
การติดต่อกันโดยมากก็คือทางโทรศัพท์ ซึ่งจัดว่าโทรหาไม่มากมายเลย
 
สรุปคือเป็นห่วงพ่อแม่ตัวเอง แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถช่วยเหลือพ่อแม่ได้ เพราะจะให้สละตัวหรือพยายามที่จะอยู่กับพ่อแม่มาก ๆ ก็ทำไม่ได้

ฟังดูแล้วไม่ค่อยดีเลย แต่มันคือความจริงที่น่าเศร้าชะมัด Y-Y

เมื่อผมเป็นคนขายเสื้อผ้า


มีอยู่ช่วงนึง ผมรู้สึกว่าตัวเองรายได้น้อย เบื่องาน อยากมีอาชีพเสริม หลังจากคิดอยู่ร้อยแปดตลบ

ประกอบกับมีแนวร่วม คือมีเพื่อนที่ทำงานที่สนิทพอสมควรเค้าก็สนใจ เลยตกลงกันได้ว่าจะลองขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดดู

แหล่งที่ควรจะไปซื้อเสื้อผ้าแบบเหมาโหลราคาถูก ๆ ในตอนนั้นที่รู้ คือ ที่ประตูน้ำ ที่สำเพ็ง ที่พาหุรัด ที่โบ๊เบ๊  ที่รู้คร่าว ๆ ประมาณนี้ ซึ่งแหล่งใหญ่ ๆ ที่ตอนนั้นนิยมกันคือประตูน้ำ เลยลองไปเดิน ๆ ดูที่ประตู้น้ำ 

ว่าจะหาซื้อไรมาขาย แต่ว่าเสื้อผ้าทั้งโหล ทั้งเสี่ยว ไปๆ มา ๆ เลยไปซื้อโบ๊เบ๊ เดิน ๆๆๆๆๆๆๆๆ หาของน่าซื้อเองยากมาก จนอยากผลิตเอง จนไป ๆ มา ๆ ก็เดินจนขาลาก เพื่อเลือกของที่เราคิดว่าน่าจะพอขายได้ สรุปกันที่ซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงมาขาย เลือกเอาแบบต้นทุนถูก ๆ

การไปเดินหาของมาขายทำให้มีความรู้เพิ่มอีกว่า ไอ้เสื้อที่เราเห็นแบขายตามตลาดนัด 99 บาท ผมสามารถซื้อมาในราคาตัวละ 19 บาทมั่ง 39 บาทมั่ง

ถ้าจะเอาของเกรดดีขึ้น ก็มีระดับราคาสูงขึ้นไป ซึ่งสำหรับผมคนไม่เคยยยยยมีประสบการณืขายของเลย ก็ต้องซื้อถูก ๆ ไว้ก่อน กลัวเจ๊งมาก ๆ

ถกเถียงกับเพื่อนแทบตายจนได้เสื้อมาตั้งได้สามโหล (มากสุด ๆ ที่มีปัญญาจ่ายแล้ว อิอิ) แล้วจากนั้นก็ซื้อถุงพลาสติกมาใส่ของด้วย

ซื้อแค่นั้นจริง ๆ เพราะกะจะลองดูเล่น ๆ ก่อน  จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการพยายามหาทำเลที่ขายของที่ค่าเช่ามันถูก ๆ แต่มันไม่ใช่ง่าย ๆ เลย

ราคาเช่าที่ไม่แพง คนก็เดินน้อย ถ้าทำเลดีราคาเป็นหมื่นขึ้นไปเลยนะต่อเดือน ที่เท่ามดเดินเอง  
บางที่ต้องมาแย่งประมูลที่เพื่อขายวันต่อวันแต่เช้าตรู่ ซึ่งผมทำงานประจำด้วยคงทำไม่ไหว

ด้วยความกลัวขาดทุน บวกงบน้อย บวกไม่พร้อมหลาย ๆ อย่าง เลยปูขายในตลาดนัดตรงพื้นริมถนนซะเลย (ถนนหลวงไม่อนุญาตให้ขายของ)

ไอ้เราก็กะเสี่ยงนึกว่าจะฟรี ที่ไหนได้ แม้แต่ถนนของหลวง  ก็ยังมีมาเฟียย่อย ๆ แถวนั้นเดินเก็บค่าที่ด้วย ซึ่งก็จ่ายไปถือว่าไม่แพง

ถือเป็นค่าบริการเวลาเทศกิจมา เค้าจะมีส่งสัญญาณบอกกันเป็นระลอก ๆ อิอิ ประเทศไทยจงเจริญ  
ผมตั้งราคาขายไปโดยตั้งราคาตัวละ 99 บาท จากทุนต่ำสุด 19 บาทเอง อิอิ กำไรสุดยอด ๆ
(ทำให้นึกไปถึงที่เราเคยเป็นคนซื้อ แหม ๆๆ คนขายเวลาเราต่อทำบอกลดไม่ได้ ทุนสูง โกหกหน้าไม่อาย หมั่นไส้)

วันนั้นตอนแรกเขิน ๆ อาย ๆ มือใหม่หัดขาย แต่คนมาซื้อเยอะมาก เนื่องจากมีการวางแผนล่วงหน้าคือลองเดินแถวนั้นก่อน

แล้วเลือกว่าเสื้อที่เรามาขายไม่ซ้ำกับเจ้าที่ขายแถวนั้น แล้วยังตั้งราคาถูกกว่าตัดราคาซะเลย อิอิ
แถมใครต่อราคาก็ลดง่าย ๆ มาก เพราะยังไงก็กำไรเหนาะ  วั้นนั้นขายไปเกือบหมด
 
และทำให้เราได้รู้ว่างานขายของสนุก แต่ลำบากกว่าที่คิด เพราะถ้าไม่ทำเองอาจไม่คำนึงถึงได้
อาทิเช่น ถ้าฝนตก คือเจ๊งไม่มีคน  ถ้าวันไหนคนน้อยจะต้องจ่ายค่าเช่าที่ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ที่เลี่ยงไม่ได้เลย

ถ้าทุนไม่หนาพอแบบผม ของก็จะดูน้อยไม่หลากหลาย และเมื่อของขายใกล้หมด

จะพบว่ามันจะเหมือนวางเศษผ้าไม่กี่ชิ้นเหลือ ๆ ซึ่งไม่มีใครมาดูแน่ ๆ เพราะงั้นต้องมีเงินทุนหมุนเวียนอย่างรุนแรง เพื่อมีของเยอะ ๆ

และเผื่อเวลาวันไหนขายไม่ออกอีกต่างหาก  อีกทั้งเหนื่อยในการเอาของวางขายและเก็บ ซึ่งผมทำวันเดียวก็เลิกไปเลย ไม่ใช่เข็ด

แต่เพื่อนร่วมงานอีกคนเค้าได้งานใหม่ที่ต่างจังหวัด ผมไม่มีเพื่อนทำ ผมก็รู้สึกตกระกำลำบากคนเดียวเกินไป

อีกทั้งผมยังมีงานประจำด้วยเลยไม่มีผลกระทบอะไรที่ต้องแคร์

เป็นประสบการณืที่ดีอยางนึง และทำให้รู้ว่าถ้ามีของขายที่มีเอกลักษณ์ยิ่งจะทำให้เสี่ยงน้อยลง ไม่โหลด้วย
แล้วจะกำไรได้มาก ๆ เลย ถ้าขายดีและดวงดีนะ แต่ยากจิง ๆ เลยวะ  ^^\/