Showing posts with label Mr Handsome. Show all posts
Showing posts with label Mr Handsome. Show all posts

Sunday, 9 June 2024

Mr Handsome returns


A regular contributor to this blog back in its heyday was Mr Handsome, a young gay Thai living in Bangkok.

When he started writing for the blog in late 2006, he had finished his studies and was taking his first steps into the adult world.

I cannot recall how we met (we never managed to do so in person), but we kept up regular email correspondence while our online friendship lasted.

At the time I provided a English translation to accompany his Thai, though I no longer have the English, as I deleted the posts that appeared on this blog.

Going through old emails, however, I found I still have his original pieces in Thai, and would like to repost them here.

His writing could be caustic, entertaining  and witty, as regular readers noted at the time.

He was a natural talent, and enjoyed sharing his stories. I am not sure if he ever showed his writing to his Thai friends, but Mr H was seldom short of story ideas, and could surprise me with some of the topics he chose.

A prolific contributor, Mr Handsome penned over 50 stories between December, 2006, with an opening piece about his quest to find a boyfriend, and June 2008, when he wrapped up his contributions with a story on Camfrog.

The first of his posts is here. I will put up the others gradually over the next couple of months, under the Mr Handsome label.

Note: Thanks to this site for the Chinatown pic. Most of the images which will illustrate his posts are unrelated, though in a few cases I have found pics which pertain to the subject matter, such as the films which Mr H reviewed back then.

Wednesday, 26 September 2007

เบื่อที่ทำงาน


หงุดหงิดงุ่นง่าน ขัดอกขัดใจ เห็นหน้าเจ้านายแล้วเซ็ง รู้สึกว่าเจ้านายไม่ฉลาด ไม่เอาใจใส่ ไม่เห็นใจลูกน้อง เพื่อนร่วมงานบางคนน่ารำคาญ หยุมหยิม คิดเล็กคิดน้อย ชอบนินทากัน บางที่เราเป็นคนกลางรับฟังยังรำคาญมากเลย บางคนพูดมากชอบคุย ในบางขณะที่เราไม่มีอารมณ์ฟัง

บางคนทำงานไม่ได้เรื่อง แต่การทำงานร่วมกัน จะไปด่าตรง ๆ ก็ไม่ได้ จะบอกว่าทำให้มันฉลาด ๆ กว่านี้หน่อย หรือใส่อารมณ์ว่าเค้าห่วย ทำผิดพลาดทำไม มันก็ไม่ใช่สิง่ที่ควรทำ ทำงานกับคนนี่มันละเอียดอ่อนจริง ๆ นิสัยคนไม่ชอบให้ใครมาตำหนิ แม้ว่าตนเองจะทำผิดก็จะมีเหตุผลมาเถียงได้เสมอ รวมไปถึงลักษณะการทำงานที่น่าเบื่อ จำเจ อนาคตก้าวหน้า แต่ไม่ไกล(สั้นมาก) งานออฟฟิสนี่มันช่างน่าเบื่อที่สุดยอด มีข้อดีอยู่อย่างคือ ได้เงินเดือนสม่ำเสมอ ไม่ต้องเสี่ยงแบบการประกอบธุรกิจเอง
 
สอบถามคนรอบข้างน้อยคนมาก ๆๆๆ ที่จะมีใครไม่เบื่องาน ทุกคนมีแต่ความอดทน ต้องทำ เป็นหน้าที่ มีภาระ มันเป็นหน้าที่เราในฐานะเป็นมนุษย์ที่ต้องรับผิดชอบดูแลตัวเอง แต่มันยากพอสมควร บางทีเปลี่ยนงาน หนีเสือปะจระเข้ที่ทำงานใหม่แย่กว่าเดิม บางทีอารมณ์อยากลาป่วย (ป่วยใจ) อยากไปเที่ยวทะเลสักห้าวันก็ทำไม่ได้ เฮ้อ บางคนรอให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ไว ๆ นั่งนับปฏิทินดูว่าเดือนไหนหยุดเยอะ
 
ความเบื่อที่พูดมามันคือลักษณะส่วนนึงของคนที่อยากเปลี่ยนงานแบบผม มันเล็กน้อยมากไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าเทียบแล้วจัดว่าเบื่อไม่มาก แต่พอพูดทีไรเบื่อมาก ๆๆๆ เลย ซึ่งงานสมัยนี้หายากเหลือเกิน ที่มันเงินดี ๆ งานน่าทำไปนาน ๆ จะทำธุรกิจตัวเองจะเอาทุนมาจากไหนเนี่ย แถมพอคิดจะทำยังนึกไม่ออกเลยจะทำกิจการอะไร แล้วเราจะมีปัญญายอมรับความเสี่ยงขาดทุนได้มั้ย (สรุปเรายังไม่พร้อมเป็นเจ้าของกิจการ)
 
มาพิจารณาตัวเองว่าเรามีดีอะไร ก็มีแค่ใจพร้อม สมองพร้อม ประสบการณ์ไม่พร้อม ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมในตัวงานอีกมาก ถ้ามีใครให้โอกาส แต่โอกาสดี ๆ มีมาน้อยเพราะมีการแข่งขันก็สูง พอหันไปมองคนรอบข้าง ก็มีหลายคนที่แย่กว่าเรา (ในด้านความสุขพอใจกบัสังคมที่ทำงานและตัวงาน เงินเดือน) แต่ก็มีอีกมากที่ดีกว่าเรา ทั้งที่มีระดับพื้นฐานต่าง ๆ เท่าเรา
 
สำหรับคนที่เบื่องานหรือกำลังหางานใหม่ ก็ขอให้พยายาม อดทน แสวงหาดิ้นรนต่อไป แต่ยังไงก็ตาม งานที่ ณ ปัจจุบัน ก็ขอให้ทำให้เต็มที่ ไม่ใช่ว่าใจลาออกไปแล้ว เลยทำงานไปงั้น ๆ ไม่สนใจ คนแบบนี้รับรองไม่รุ่ง เห็นแก่ตัวและขาดความรับผิดชอบเกินไป เฮ้อ......ยังไงก็ต้องสู้ต่อไปแต่จะเพื่ออะไรก็มิทราบ แต่ละคนเหตุผลต่างกัน แต่การไม่ท้อถอยมันคงเป็นสิ่งดีแน่ ๆ สู้ ๆ

คุณชายสายเสมอ


ผมเองหละชอบมาสายเป็นประจำ ทั้งทำงาน นัดเที่ยว หรืออะไรต่าง ๆ แต่ว่าผมมันเลือกสายนะ ไม่ใช่สายพร่ำเพรื่อนะ ถ้าต้องมีผลกระทบต่อบุคคลอื่น อาทิเช่น ไปเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งคนที่เราไม่สนิทปนอยู่ด้วย หรือว่าสถานที่ที่ต้องนัดเวลาแน่นอน ผมจะไม่สายเลย แต่ถ้าอะไรที่เป็นผลกระทบต่อตัวผมโดยตรง เช่น ทำงานสายเอง โดนด่าเองคนเดียว นัดเพื่อนสนิทเองเพื่อนบ่นด้วยความเคยชิน อันนี้ ผมชอบสาย มันเป็นสันดาน และมักจะมีข้อแก้ตัวมากมายในการมาสาย ถ้าใครเป็นบุคคลจำพวกชอบมาสายไม่ตรงเวลาจะเข้าใจได้ดีว่า ไม่อยากมาสายหรอก แต่ก็ไม่ได้มีความพยายามหรือกระตือรือร้นที่จะแก้ไข

ผมยังจำสมัยเรียนม.ปลายได้ดี มีอาจารย์ท่านนึงสอนผมด้วยความเป็นห่วงว่า(อาจารย์ดี เลยสอนเข้าหัว) “เธออาจเห็นว่าการตรงต่อเวลามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่มันจะมีผลกระทบและเป็นนิสัย(สันดาน)ติดตัวเธอไปในอนาคต เพราะชีวิตจริงการทำงานมันไม่เหมือนเรียน ที่ยังพออนุโลมกันได้นะ อยากให้แก้ไขปรับปรุงแต่เนิ่น” จนป่านนี้จำได้แต่คำพูด ยังแก้ไขพฤติกรรมไม่ได้เลย

หลัก ๆ มาสายมีแค่สองอย่างคือ ทำงานสาย กับนัดเที่ยวสาย อย่างแรกวิธีบังคับให้ผมมาทำงานทัน มีดังนี้ คือ หักเงินเดือน ตอกบัตร เจ้านายเรียกมาด่า แต่ถ้าเป็นระบบหยวน ๆ กันเอง ใช้จิตสำนึกว่าควรจะมาทันเอา ผมจะมาไม่ทันสม่ำเสมอ และยังคงคิดเสอมว่าทำงานคุ้มเต็มที่ จะมาเร็วเพื่ออะไร (แอบเปรียบเทียบกับคนในบริษัทคนอื่น) แต่จริง ๆ ก็รู้แหละว่ากฎระเบียบมันต้องมี ถ้าหยวนให้เรา คนอื่นก็หมั่นไส้ บางคนอิจฉา บางคนถือว่าไม่ยุติธรรม

ส่วนการนัดเพื่อน นัดเที่ยวนั้น คนกันเอง จะรู้ใจผม เช่น นัดบ่ายโมง จะกะว่าผมมาบ่ายสอง บางครั้งมีการรวมหัวกันหรอกผมว่านัดเวลานี้ แต่จริง ๆ พวกนั้นมันนัดอีกสองชม. ถัดไปก็มี และถ้าเพื่อนที่รู้สันดานดีจะไม่โกรธเลย เพราะคนที่โกรธหรือเอาเรื่องผม ผมก็คงไม่เที่ยวกะมัน ๆ  พวกนัดเที่ยวผมไม่ค่อยแคร์มาก เพราะสมัยนี้อยากไปไหนก็ไปดิ เราจะตามไปสมทบเอง (ไม่มีเราอยู่ ก็กร่อย ก็บอกมาเหอะ อิอิ)

คราวนี้จะเล่าถึงพฤติกรรมเวลามันสาย เช่น นัดบ่ายสามโมง อีกสิบนาทีจะบ่ายสาม ผมยังไม่ออกจากบ้านเลย แล้วก็รีบ ๆๆ จริง ๆ ผิดตั้งแต่ตื่นสายแล้ว แถมต้องแต่งตัว ต้องเดินทางอีก จะเดินเร็วมากระหว่างทาง เช่นไปขึ้นรถไฟฟ้าเดินแบบแทบจะลอย เพราะสายแล้ว ใจต้องคิดตลอดว่าหยิบบัตรรถไฟฟ้าออกมา เสียบปรุ๊ดพุ่งไปเลย วิ่งขึ้นบันไดเลื่อน ถ้านั่งมอเตอร์ไซค์ ก็ต้องคำนวณเตรียมเงินให้พอดี จะเสียเวลาเป็นเสี้ยววินาทีไม่ได้เลย ต้องลุ้นตลอด บางทีต้องเสียเงินนั่งมอเตอร์ไซค์อีก เพราะกรุงเทพรถติด ยอมหัวฟูบานแบะเพราะควันและหมวกกันน็อค เสียเงินแพงเพื่อให้ทันเวลา 

แต่จริง ๆ แล้ว ไร้สาระมาก ๆ ที่ต้องรีบ ๆ ลก ๆ เสียเงินแบบนี้โดยใช่เหตุ เพราะฉะนั้นอย่ามาสายเลย นั่นหละดีที่สุด การเตรียมตัวก่อนเวลานัด การตรงต่อเวลาเป็นนิสัยที่ดี และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมาสายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อย่างว่า รู้แล้วแต่ไม่พยายามทำ หรือพยายามมั่งไม่พยายามมั่ง ผลก็จะออกมาแบบผม จนกว่าจะมีคนมาด่าตอกหน้า หรือมีผลกระทบเสียหายจริงจังนั่นหละจะได้เข็ด!!!

Ju Jin Mo พระเอกเกาหลีสุดหล่อ

Ju Jin Mo

สมัยช่วงผมกำลังเรียนมหาวิทยาลัย กระแสเกาหลีในเมืองไทยกำลังมาแรงมาก ๆๆๆ เรื่องที่จัดได้ว่าเป็นการเปิดตัวให้กระแสบ้านักร้องดาราเกาหลีโด่งดังแบบนี้ มาจากละครเกาหลีเรื่อง autumn in my heart  เรื่องนี้จัดได้ว่าภาพสวยงามพระเอกนางเอกหน้าตาดีใสปิ๊ง ๆ รายละเอียดไม่ขอพูดถึง

แต่ที่แน่ ๆ พระรองของเรื่องนี้ won bin หล่อสุด ๆ หลังจากนั้นต่อมาภาพยนตร์ที่ฉายในโรงเรื่อง my sassy girl ก็ส่งผลให้กระแสฮิตหนังเกาหลีเพิ่มขึ้นทวีคูณ เรื่องนี้พระเอกไม่หล่อ แต่เนื้อเรื่องคุณภาพของหนังจัดว่าครบรสและค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นผลให้หนังเกาหลี ดาราเกาหลี นักร้องเกาหลี เริ่มฮิต ๆๆ นิยมชมชอบตั้งแต่นั้นมา

ผมก็เริ่มบ้าหนังเกาหลีและพออารมณ์มันชอบแล้ว ก็เกิดอาการพยายามขวนขวายหาหนังเกาหลีเรื่องอื่น ๆ มาดู ซึ่งสุดท้ายก็พบว่าหนังมันก็มีทั้งคุณภาพดีและเลวปนกันนั่นแหละ แต่หนังที่ดีมีคุณภาพของเค้ามีจำนวนมากกว่าของคนไทยแน่นอน เนื่องมาจากการสนับสนุนที่ดีของรัฐบาลเกาหลีในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศเค้า (หวังว่าไทยเราน่าจะพัฒนา ๆๆ มั่ง)

การที่แสวงหาหนังเรื่องต่าง ๆ มาดู ทำให้ผมได้บังเอิญไปพบกับหนังเรื่องนึง ซึ่งกลายเป็นหนังโปรดของผม นั่นก็คือเรื่อง wanee&junah ซึ่งแสดงนำโดยพระเอกสุดหล่อ jo jin mo หรือ joo jin mo ไม่แน่ใจชื่อเท่าไหร่ ชอบเพราะความหล่อ ๆๆๆ เลย ขอพูดถึงเนื้อเรื่องนิดหน่อย ภาพหนังเรื่องนี้สวยมากๆๆๆๆๆๆๆ บทหนังนิ่งมาก เรื่อย ๆๆ ถ้าคนที่เป็นคนหยาบกระด้างในอารมณ์หรือไม่ชอบหนังอามรมณ์นิ่ง ๆ จะเบื่อและอาจจะเลิกดูก่อนหนังจบ 

เป็นเรื่องราวของคู่รักสองคนที่อยู่ด้วยกันมานาน จนเหมือนจะอิ่มตัว ฝ่ายชายรู้สึกดีแบบเดิม ขณะที่ฝ่ายหญิงมีอารมณ์ชินชา ไม่แน่ใจหรืออาจมองไม่เห็นความสำคัญของคนที่รักและอยู่เคียงข้างเธอตลอด จนมาวันนึงเมื่อแยกกันสักพัก จึงทำให้รู้ว่าสิ่งสำคัญที่เธอมองหา อยู่ข้างเธอมาตลอดนั่นเอง หนังเปิดตัวด้วยการ์ตูนและปิดตัวด้วยภาพการ์ตูน อยากให้ลองหามาชม แต่บอกไว้ก่อนว่า ระดับความหวือหวาท้าทายของหนังเรื่องนี้ เป็นแบบกราฟเส้นตรงเลย คือนั่งนิ่ง ๆ เรื่อย ๆ ซึ่งอาจไม่ถูกใจกับรสนิยมหนังของใครหลาย ๆ คนนะ

หลังจากประทับใจหนังเรื่องนี้ พระเอกก็หล่อน่ารัก เลยจำเป็นต้องแสวงหาหนังเรื่องอื่นที่พระเอกคนนี้แสดงซะหน่อย ก็ดูมาบางเรื่อง แต่มาสะดุดกับเรื่องนี้ ชื่อเรื่อง happy end เป็นหนังเกาหลีเรื่องราวของสามี ภรรยา มีลูกเล็ก และชู้ ซึ่งพระเอกสุดหล่อของผม jo jin mo จากเรื่อง wane&junah แสดงเป็นชู้ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องของสามีตกงาน ไม่ได้เรื่อง กำลังพยายามหางาน ส่วนภรรยาสาวก็มีชู้ ซึ่งส่วนนึงมาจากความไม่ได้เรื่องของแฟนตัวเอง แต่เธฮแก้ปัญหาผิดไปหน่อยที่เป็นชู้กับเพื่อนของเธอเอง เนื้อหาค่อนข้างดรามา จัดว่าหนังน่าสนใจอีกเรื่อง แต่ที่เด็ด ๆ ของผมคือ ฉากมีเซ็กส์ของคู่ชู้เรื่องนี้ ถูกใจมากเลย 

เห็นก้นพระเอกสุดหล่อ เห็นท่าทางอะไรที่ไม่คาดว่าจะเห็นจากพระเอกคนนี้ เพราะตามหลักทั่วไป พระเอกดาราปกติ มักจะไม่โชว์ขนาดนี้ เพราะแบบนี้มันระดับหนังอาร์แล้ว  เพราะงั้นใครอยากดู....ก็ลองหามาดูซะ (ออกแนวหื่น) ซึ่งจากประสบการณ์การดูหนังเกาหลีที่ผ่านมาทำให้พบว่า มีพระเอกหลายคน มักจะเคยหรือแสดงบทที่ค่อนข้างจะโชว์ หรือเปลืองเนื้อเปลืองตัว ซึ่งจัดกว่าเกินลิมิตมากมาย (เป็นบุญตาของผู้ชม อิอิ)เมื่อเทียบกับพระเอกไทยที่ชาตินี้คงไม่มีทางเห็นโชว์ขนาดนี้ โดนแบนแน่ (พูดง่าย ๆ ก็คือ โชว์ก้น โชว์พุง โชว์ท่า โชว์ไซร้ จูบดูดดื่ม โชว์ขยับก้น อิอิ) เพราะงั้นลองไปหามาดู หมายถึงลองไปหาหนังที่ผมแนะนำ และหนังเกาหลีอีโรติคต่าง ๆ มาดู เช่น summer time, labelle เป็นต้น (แสดงโดยดาราชั้นนำเกาหลี ไม่ใช่ดาราโนเนม) –จบ--

เพศไหนหว่า??

 


ใครหว่าไม่ใช่กระเทย เกย์  ไม่ใช่ทอมดี้ ไม่รู้ว่าชายหรือหญิง งงมาก หลายคนคงเคยเจอ เป็นบุคคลที่เราไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเพศไหน

ไม่ใช่ว่าผิดเพศ เพราะแบบนั้นยังรู้ได้ว่าทางกายภาพเป็นชายหรือหญิง แต่คนที่ผมพูดถึงไม่สามารถระบุได้ ยกตัวอย่างที่เคยเจอมา จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันดังนี้ คือ หน้าตากลาง ๆ ไม่ใช่หน้าตาดีสวยหวานหรือคมเข้ม แต่ว่าหน้าตาจะกลาง ๆ เฉย ๆ ลองคิดภาพคือว่าเอาวิกผมยาวผมสั้นใส่ก็เพศไหนได้หมดเข้ากันทุกทรง ส่วนรูปร่างก็จะกลาง ๆ โดยมากจะท้วม ๆ หรือเป็นคนอ้วน เวลาผมเจอคนที่ผมไม่สามารถระบุเพศได้ ด้วยความสอดรู้สอดเห็นส่วนตัว อิอิ

สิ่งแรกที่ผมมองคือหน้าอก ว่ามีนมปูดออกมารึเปล่า ถ้ามีก็เป็นหญิง มองแขน ว่ามีลักษณะเป็นเพศไหน ซึ่งบางคนอยากจะแยกแยะเพศออกได้ยากอยู่ดี แถมทรงผมโดยมากพวกนี้จะไว้แบบยาวลงมาถึงคอ เจอหลายทีแล้ว คนลักษณะนี้มักจะเป็นประเด็นให้ผมต้องเถียงกับเพื่อนเสมอ

ว่าเค้าเพศไหนกันแน่  บางทีพยายามมองเป้าว่ามีมั้ย มีสะโพกมั้ย แต่คนท้วม ๆ แยกออกได้ยากจริง ๆ มีวิธีเดียวคือต้องลองฟังเสียงพูดดู

แต่จะข้องใจไปทำไมก็ไม่ทราบ เดี่ยวพูดไปมีคนมาหาว่าจิตไม่ว่างอีก แต่มันข้องใจสงสัยอยากรู้เฉย ๆ นี่หว่า!!!

Friday, 21 September 2007

วันหยุด วันว่าง ทำไร?


มานั่งคิด ๆ ดู วัน ๆ นอกจากทำงานซะแทบจะทั้งหมดของชีวิตเนี่ย เราทำอะไรเวลาเราไม่ทำงานเวลาวันหยุด

จะว่าไปมีไม่กี่อย่างเอง  กินข้าวร้านอาหาร กินข้าว กินอาหาร ชอปปิ้ง ซื้อของ ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย

 เล่นเนต เล่นเกม  นอนหลับกินบ้านกินเมือง ฟังเพลง วิทยุ คุยโทรศัพท์ กลับบ้านตจว. บางครั้งก็คาราโอเกะ    
ไปผับ กินเหล้า นาน ๆ ที ก็ไปเที่ยวตจว.กับเพื่อน ชีวิตมีแค่นี้จริง ๆ นะเนี่ย!!!!

ชีวิต ๆๆ วนเวียน ๆ หาสถานที่ใหม่ ๆ เพื่อความไม่จำเจ แต่เมื่อวันนี้มาคิดได้แบบนี้ มันคือความอิ่มตัวจนเอียน จนเบื่อจนรู้สึกว่าซ้ำซาก หรือเป็นความขาดหายกันแน่ แล้วยังหาสิ่งมาเติมเต็มไม่ได้เลยเค้วงคว้างสับสน

คนเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อทำตัวตามรูปแบบที่สังคมกำหนด ถ้าแหกกฎคือคนนอกคอก ถ้าสวนกระแสอาจเป็นวีรบุรุษหรืออาจเป็นไอ้งั่งก็ได้ แล้วจะมาพร่ำเพร้อเป็นคนบ้าอะไรวะเนี่ย

-จบ-

ป.ล.สั้น สั่ว เซอะ

เรื่องน่าอายของคนอื่น ที่ไม่กล้าบอก


ขนจมูกแลบออกมา เห็นเป็นแพ เป็นหย่อม ๆ ดกดำ น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง ทุกคนย่อมมีขนจมูก แต่ว่ามันไม่ได้เอาไว้โชว์หรือต้องไว้ยาวเพื่อหวี การตัดเล็มไม่ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใด เห็นทีไรอยากจะบอก แต่ไม่กล้า เพราะกลัวเค้าอาย บางคนหน้าตาน่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งมีขนจมูกมาเสริมราศียิ่งน่า........ส่วนคนหน้าตาดีเวลาขนจมูกแลปเห็นแล้วผิดหวังที่สุด อยากจะไปตัดให้เลย

กลิ่นปาก จริง ๆ คนทั่ว ๆ ไปหลังกินอาหารมักมีกลิ่นปาก บางคนน้ำลายบูดเพราะไม่ได้พูดนาน มัวแต่อมขี้ฟัน ปากก็เหม็นได้ ซึ่งนอกจากอาจก่อให้เกิดปัญหาทางด้านเหงือกและฟันกับผู้ที่มีกลิ่นปากแล้ว ยังสร้างความรู้สึกพะอืดพะอมให้กับคนที่อยู่ใกล้ชิด และถ้าไม่ใกล้ชิดสุด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆแบบพ่อแม่หรือเพื่อนสนิท ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ คงไม่กล้าบอกแน่ เวลานั่งดูหนังใกล้กับคนที่ปากเหม็น หรือพูดอะไรให้ฟัง หรือเค้ามากระซิบข้างหู อยากจะอ้วก

ถ้าเป็นไปได้ อยากจับแปรงฟัน บ้วนปากให้เองเลย บางคนที่มีปัญหาจริง ๆ ก็น่าเห็นใจ ควรไปปรึกษาแพทย์ แต่บางคนนี่สิ แปรงฟันไม่เป็น เลยไม่สะอาด หรือลืมแปรงลิ้น มันก็ทำให้มีกลินเหม็นได้ ส่วนเรื่องกินอาหารอะไรแล้วปากเหม็นก็ควรระวังเอา หรือแก้โดยการเคี้ยวหมากฝรั่งตาม แต่คนปากเหม็นจริง ๆ ถึงเคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อลดกลินปากหรือฉีดน้ำยาดับกลิ่นปาก กลิ่นนั้น ๆ ก็จะกลบ แล้วผสมกับกลิ่นปาก พ่นออกมาทีหนักกว่าเดิมอีก

แต่โดยทั่วไปประสบการณ์ตรงที่เจอ มักจะเกิดจากไม่ได้แปรงลิ้น (รู้มาจากการหลอกถาม) บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลิ้นเป็นแหล่งใหญ่ในปากเลยที่สะสมเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก และเป็นส่วนที่ควรทำความสะอาดเช่นเดียวกับฟัน เพราะงั้นจงแปรงลิ้นกันซะ

พูดถึงเรื่องปากแล้วก็นึกไปถึงฟัน เวลากินอาหาร แล้วมักมีอะไรติดฟัน โดยเฉพาะเศษพริก พูดทียิ้มที คนฟังสังเกตที อยากจะบอก แต่ไม่กล้า กลัวเค้าอาย เห็นทีไรอดไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำ ยิงฟันดูในกระจกว่าเรามีติดทุเรศแบบเค้ามั้ย

 ขี้ตา อันนี้เห็นบ่อย บางคนล้างหน้าตอนเช้าครั้งเดียวลวก ๆ ขี้ตาในตามันยังออกไม่หมด พอกระพริบบ่อย ๆ มันก็มีอีก แห้งกรังติดลูกตา

หรือจะเพราะสาเหตุใดก็แล้วแต่เหอะ  ถ้ายังไงอย่าลืมส่องกระจกบ้าง ไม่ใช่ไปส่องเพื่อโบะหน้า  แต่ดูว่ามีขี้ตา ขี้ฟัน

หรืออะไรก็ตามที่มันเป็นมลพิษทางสายตาคนรอบข้างติดแถวหน้าบ้างมั้ย

สุดท้ายพวกลืมรูดซิปกางเกง กระโปรง อันนี้ ถ้าผู้ชายเพื่อนกันยังพอบอกกันได้ แต่ถ้าต่างเพศกัน มักจะไม่กล้าบอก เช่นชายเห็นหญิงลืมรูดก็กลัวเธออาย กลัวหาว่าเราแอบมองตรงนั้นเลยเห็น เลยไม่บอกซะเลย ส่วนผู้หญิงเห็นผู้ชายลืมรูดก็อารมณ์เดียวกันไม่กล้าบอกเช่นกัน แต่ถ้าผู้ชายที่ชอบชาย เห็นชายไม่รูดซิปโชว์น้องชาย อันนี้ก็หมายความว่าอ่อยเหยื่อ ฮ่า ๆ

วิถีชีวิตการทำงานของผม

 


ความรู้สึก ความสุข อารมณ์ในการทำงานในแต่ละช่วงมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน สำหรับผมมันเป็นวัฎจักรดังนี้

 ชีวิตไม่เคยทำงาน  ----พึ่งจบใหม่ ๆ สดใสร่าเริง ไฟแรง หางาน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
โห เรามีตัวเลือกมากมายสำหรับเด็กจบใหม่  ไม่มีประสบการณ์  มีโอกาสเลือกงานมากมาย อันนี้ไม่ดี อันนี้ไกลบ้าน อันนี้ไม่ดัง อันนี้เงินน้อย

แต่พลาดเลือกมากไป สุดท้าย ต้องยอมเอาที่ที่เราไม่ถูกใจที่สุด เพราะพลาดโอกาสที่ดีกว่าไปแล้ว เนื่องจากตอนแรกคิดว่าเราจะได้โอกาสที่ดีกว่านี้
 
 ชีวิตเริ่มงานครั้งแรก ----ดีใจว้อย เรียนจบซะที ทำงานหาตังค์เองได้ด้วย ไม่อยากเชื่อเลย ตื้นตันเล็ก ๆ  ไฟแรง กระตือรือร้น
คาดหวังสูง พร้อมจะเรียนรู้เต็มที่ งานหนักขอให้มาเหอะ โดนเปรียบก็ยอม แถมแอบเล่นเนตอีก จัดว่าน้องใหม่อ่อนประสบการณ์จริง ๆ
 
ชีวิตทำงานไปสักพัก ----- เฮ้อ งานตู มันกระจอกสิ้นดี รุ่นพี่คนนั้นก็ห่วย หัวหน้าก็ไม่ดี งานก็ไม่ก้าวหน้า เงินก็น้อยไม่พอกิน ทำงานไปวัน ๆ อยากออกเหลือเกินนนนนนน
 
ชีวิตตกงาน --------ทนไม่ไหวแล้วว้อยยยยย ออกมันเลย คนมันมีดีซะอย่าง ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ตกงานที่คนเค้าพูดกัน กลัวไรนักหนา

เราไม่ใช่คนเลือกงาน เรื่องมากซะหน่อย (จริง ๆ เลือกมาก ) แต่พอลาออกมาได้สักพักโดยไม่มีงานรองรับ
รู้สึกแย่กับตัวเองมาก แบมือขอพ่อแม่เหมือนเดิม เดินสายสัมภาษณ์งาน ๆ ๆ ๆ ๆ เลือก ๆ ๆ ๆ เหมือนจะได้ ๆ ๆ ไม่ได้ ๆ ๆ ๆที่ได้ ๆ ก็ไม่ดีถูกใจ

รอโทรศัพท์ให้คนโทรมาเรียก โอ้โห ชีวิตรันทดสุด ๆ เวลาไปเที่ยว นัดเพื่อน เพื่อนทำงานกัน ต้องรอหลังเลิกงาน โอ้ตกงานมันไร้ค่ายังงี้เอง ไม่เอาอีกแล้ววววว
 
ชีวิตทำงานอีก ----โอเค เราจะต้องอดทน งานใหม่บรรยากาศใหม่สดใสน่าทำ สนุกสนาน แต่อารมณ์ต่างกับได้งานครั้งแรกในชีวิต

ทำไปก็สะดวกสบายโอเคดี แต่สุดท้ายความเบื่อมันก็กลับมา มันเบื่อ มันไม่ถูกใจ มันไม่ชอบ
นี่เอง ที่เด็กรุ่นใหม่บางคนถึงเข้าออกกันเป็นว่าเล่น ใจอยากออกอีกแล้ว แต่ตตอนนี้นึกถึงการตกงาน แล้วรู้สึกแย่

เลยกลายเป็นว่าเกาะกินบริษัทไปก่อน พร้อมกับหางานใหม่ เพื่อให้ได้งานใหม่ก่อน จะได้ไม่ขาดช่วง ไม่ขาดเงิน ไม่รู้สึกแย่มาก -*-  
 
ไม่รู้ว่าวัฎจักรเหล่านี้มันจะจบลงเมื่อเราเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วมีความเครียดกับกิจการของตัวเอง หรือว่าจบลงเมื่อเราหาสิ่งที่เราชอบทำเจอ คนเราถ้าได้ทำงานที่อยากทำใฝ่ฝันแล้วมีความสุขมันคงดีไม่ใช่น้อย แต่ว่าถ้าคนไม่มีความชอบ ไม่รู้ว่าอนาคตตัวเองชอบอะไรแล้วจะทำยังไงเนี่ย!!!

Wednesday, 19 September 2007

เพื่อน...กูรักมึงวะ (Bangkok Love Story)


ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้มา ก็ขอเล่าตามความรู้สึกส่วนตัวแล้วกัน

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายสองคน คนนึงเป็นมือปืนรับจ้างฆ่า แถมเลือกฆ่าแต่คนดีซะด้วย (คนดีเหลือเกิน -*-) 

มีชีวิตบัดซบอีกต่างหาก เพราะมีน้องชายและแม่เป็นเอดส์ ซึ่งยิ่งไปกว่านั้นยังติดมาจากพ่อเลียงทั้งคู่ อย่าพึ่ง งง จะอธิบายให้ฟัง คือว่า แม่มีอะไรกับแฟนตัวเองมันเรื่องปกติ ส่วนน้องชายพระเอกโดนพ่อเลี้ยงข่มขืน เลยเอดส์ทั้งคู่ เฮ้อ....
 
ตัวเอกสองคนในหนังมาเจอกันจากที่ไอ้มือปืนคนนี้ (ชื่อเมฆ) ได้ถูกจ้างให้ไปฆ่าพระเอก (ชื่ออิฐ)
แต่ไป ๆ มา รู้ว่านายอิฐเป็นคนดี นายเมฆเลยฆ่าไม่ลง โอ้โห พระเอกที่แสนดี

ทั้งสองเลยพากันหนีหัวซุกหัวซุนจากผู้จ้างฆ่าและสมุนออกมากบดานอยู่ที่ตึกเก่า ๆ อาจเป็นห้องพระเอกก็ได้

แล้วก็ไม่มีที่มาที่ไปหรือผูกพันธ์อะไรมาก อยู่กันสักพัก (ไม่ทราบว่ามองตากันกี่วันกี่คืน เดาไม่ออก)ชายหนุ่มทั้งสองก็ลงเอยได้เสียกัน แต่พอมีอะไรกันปุ๊ป

นายเมฆก็เกิดปมทางจิตใจขึ้นทันทีว่า ตัวเองกำลังสับสนทางเพศอยู่ รับไม่ได้ที่ไปปล้ำผู้ชาย ส่วนนายอิฐที่มีแฟนผู้หญิงอยู่แล้ว

ก็รักนายเมฆมากมายอย่างไร้สาเหตุ  นายเมฆพอรับไม่ได้ก็ไล่นายอิฐออกไป นายอิฐก็กลับบ้านตัวเองไป (จริง ๆ น่าจะกลับตั้งนานแล้ว)
แต่ก็ยังคิดถึงนายเมฆคอยวนเวียนกลับมาหาตลอด ส่วนแฟนสาวนายอิฐก็เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงว่าแฟนเปลี่ยนไป

แล้วหนังก็มาเฉลยว่าจริง ๆ นายอิฐคบหญิงบังหน้า แล้วสุดท้ายไป ๆ มา ๆ นายเมฆมาเจอกับนายอิฐหน้าบ้านนายเมฆแล้วกอดจูบกันดูดดดื่มมาก ๆ

ในขณะนั้นเองแฟนสาวนายอิฐก็ตามมาเจอ แถมน้องชายกับแม่ยังผลัดกันชะโงกหน้ามาดู สรุปความแตก? ทุกคนรู้หมดเลยทั้งคู่เป็นเกย์

แล้วจากนั้นแม่พระเอกผูกคอตายเนื่องจากช้ำใจหลายอย่าง ทั้งเป็นเอดส์ ลูกชายเป็นเกย์ ลูกชายอีกคนขายตัว

แล้วอารมณ์ไหนไม่ทราบ สงสัยพระเอกอยากให้หนังจบซะที เลยตัดสินใจทำตามสัญญาจะพาน้องไปแม่ฮ่องสอน (ถ้าจำไม่ผิด) ตามสัญญา

เลยกะปิดบัญชีดำ ไปตามฆ่าคนจ้างฆ่านายอิฐ ลุย ๆๆ สุ้ไปมาพอเป็นพิธีก็ฆ่าได้สำเร็จ พอฆ่าสำเร็จ  ก็รีบไปหาน้องชายตัวเองที่รอที่สถานีรถไฟ สวนทางกับนายอิฐที่มาตามนายเมฆ ที่พอมาถึงพบศพคนที่จ้างฆ่าตัวเอง มีเมียคนที่ตายร้องไห้แค้นใจอยู๋ นายอิฐเลยโดนลูกหลงถูกยิงซะเลย ตอนแรกนึกว่าตาย

มาคลี่คลายว่าแค่ยิงไม่ถูก แต่โดนกระจกแทนแล้วสะเก็ดกระเด็นใส่ตา ตาบอดมันซะเลย
ส่วนนายเมฆโดนตำรวจจับต่อหน้าต่อตาน้องชาย และน้องชายนายอิฐก็ไปอยู่วัดพระบาทน้ำพุ (สถานที่ของคนโรคเอดส์) และไม่นานก็ผูกคอตายด้วยความอ่อนแอ

แต่ยังไม่วายเขียนจดหมายหาพี่ชายในคุกให้หนังมันโศกเศร้าอีก ยิ่งไปกว่านั้นนายอิฐที่ดีแสนดี ก็รอนายเมฆนอกคุก รอจนหัวหงอกเลย หัวหงอกผมขาวจริง ๆ รอจนแก่งั่ก ๆๆ พอออกมาเจอกันปุ๊ป ตามสูตรที่ต้องมีอุปสรรค นายเมฆก็โดนยิงซะงั้น แล้วนายอิฐก็หนีโศกเศร้าไปตายที่ญี่ปุ่นซะงั้น จบ..
  
เรื่องนี้ภาพสวย มุมกล้องสวย บทพูดดี แต่มีมากในบางฉากและพยายามยัดบทพูดลงมาในหนังจนผิดกาละเทศะ
นักแสดงหล่อดูดี ทั้งเรื่องถอดเสื้อโชว์ล่ำ เห็นก้นวับ ๆ แวม ๆ เลยยิ่งน่าดู สมกับเป็นหนังของพจน์ อานนท์ ที่ผู้ชายในหนังของเค้าทุกเรื่องหล่อทุกคน

แม้การแสดงของตัวเอกทั้งสองจะแสดงคล้าย ๆ ต้นไม้ก็ตาม แต่ก็หล่อซะอย่าง ถัว ๆ กันได้
ครอบครัวพระเอกในหนังมีชีวิตอนาจบัดซบ นักแสดงทั้งแม่และน้องชายพระเอกซึ่งหล่อแววตาเศร้า แสดงเก่งโดดเด่นกว่าตัวแสดงนำอีก

แต่ให้สรุปโดยรวม เป็นหนังที่ไปดูแล้วไม่เสียดายเงิน ข้อดีมีอย่างที่บอกไป มันทับถมข้อเสียเฉลี่ย ๆ กันได้ และทำให้เราติดตามดูเรื่อย ๆ ไม่ถึงกับหาวจนจบ เพราะฉะนั้นถ้าว่าง ๆ ก็จงไปอุดหนุนดู ไม่ดี แต่ก็ไม่เลว ถือว่าอุดหนุนหนังไทยแล้วกัน
 
ป.ล.มันไม่ใช่หนังตลก แต่อาจมีขำเพราะความพยายามจะซึ้ง แต่ก็มีซึ้ง มีฉากอารมณ์ด้วย ต้องลองดูเอง !!

For clips, see here

Saturday, 11 August 2007

ไม่อยากอ้วน….....


หลายคนบนโลกใบนี้คงประสบปัญหากับไขมันส่วนเกินในร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้รูปร่างผิดสัดส่วนเกินพอดี หรือที่เรียกกันว่าอ้วนอวบอั๋นนั่นเอง บางคนก็อ้างว่าระบบเผาผลาญในร่างกายไม่ดี บางคนก็โทษกรรมพันธ์ ซึ่งขณะที่คอยแต่โทษหรืออ้างสิ่งต่าง ๆ นั้น คนอ้วนบางคน ย้ำว่าบางคนกลับลืมคิดไปว่า บางทีมันอาจไม่ใช่กรรมเก่า บางทีมันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้ หรือโชคร้าย แต่มันคือสิ่งที่เราเป็นผู้กระทำ สร้างสมพอกพูนทะนุถนอมดูแลไขมันน้อย ๆ ให้เติบใหญ่ขึ้นมาเอง เนื่องจากผมได้มีโอกาสรู้จักและสนิทกับคนอ้วนมากมายหลายคน และผมเห็นว่าทุกคนที่ผมสนิทและรู้จักนั้นสามารถชี้ลงไปชัดเจนได้เลยว่า ทำไมแก(มึง)ถึงได้อ้วนอย่างนี้ ซึ่งเหตุผลก็มีดังนี้ แต่นแต๊น...........


-          กินขนมไม่หยุด มากกว่าคนผอมหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาเช้า สาย บ่าย เย็น กินขนมจุบจิบได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะขนม ลูกอมอะไรที่มัน ๆ แป้ง ๆ น้ำตาล ๆ เนี่ยจะชอบเป็นพิเศษ

-          กินอาหารมื้อหลักน้อยมาก เห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้จริง ๆ พวกอ้วนแทบตาย แล้วกลัวอ้วนทำมากินข้าวน้อยเท่าแมวดม ถ้ามันแค่นั้นคงพอจะผอมได้ แต่ว่ากลับกินขนมนมเนยจุบจิบทั้งวันด้วยเนี่ยน่ะ

-          พวกอดมื้อกินมื้อ ไม่ใช่อะไรก็พวกที่ทำมาจะอดอาหารลดความอ้วน ที่ไหนได้อดได้สองมื้อ พอมื้อเย็นตะปูมตะปามมูมมากกินเหมือนอีแร้งลง พวกนี้ไม่ไหว ๆ น่าเห็นใจ คือมีความพยายามจะอด (แม้จะเวลาสั้นมากกก) แต่ตบะแตกทุกที แถมพอกินทีก็มากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอดไม่มีวินัยจริงจัง พวกนี้จะเก่งเรื่องผัดวันประกันพรุ่งในการผอม

-          กินเหมือนช้าง เหมือนควาย อันนี้ตรงตัวไม่ต้องอธิบาย พวกกินไม่อายฟ้าดิน

-          ไม่ออกกำลัง ในที่นี้หมายถึงขี้เกียจอย่างรุนแรง ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดออกกำลังจริงจังก็ได้ แค่เดินไปหน้าปากซอย หรือเดินขึ้นบันไดไม่กี่ก้าว ก็จะเกิดอาการเป็นง่อยอ่อนเปลี้ยขึ้นมาเป็นพิเศษ แต่อย่างว่าต้องหอบไขมันเดิน มันต้องเหนื่อยกว่าคนทั่วไปเป็นธรรมดา (อ้างยังงี้ประจำเลย)

วิธีลดความอ้วนด้วยตนเองมีมากมาย การค่อย ๆ ลดอย่างเป็นธรรมชาติ ย่อมดีกว่าการลดลงอย่างฉับพลัน คนอ้วนหลายคนมีความฝันว่าถ้าเก็บเงินได้จะไปดูดไขมันทิ้งซะเลย แต่จงระวังไว้ว่าการกระทำอะไรที่ไม่ค่อยเป็นค่อยไปแบบธรรมชาติย่อมมีความเสี่ยงสูงต่อร่างกาย อีกทั้งอาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพที่ตามมาอีกด้วย และโอกาสกลับมาอ้วนแบบเดิมก็สูงเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเสียเงินไปแล้วจะผอมตลอดไป ถ้าไม่ระวังดูและรักษาตัวเอง

คนอ้วน ๆ ถ้าขาว ๆ น่ารักก็ยังพอดูสะอาด ดูดีแบบอึดอัด แต่ถ้าดำ ๆ  มัน ๆ จะดูสกปรกสังคมรังเกียจอย่างแรง และการที่อ้วนเนี่ยยังมีข้อเสียอีกคืออาจทำให้มีกลิ่นตัว เหงื่อออกง่าย เป็นโรคไขมันอุดตัน เป็นต้น และแน่นอนว่าสำหรับบางคนอาจมีผลต่อสุขภาพจิตและบุคลิกภาพอีกด้วย

คิดดูน่าอายมั๊ยเนี่ย ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วเหตุผลคือเพราะเราอ้วน เช่น ถ้าตึกที่เราอยู่ไฟไหม้ เราอยู่ชั้นสิบเก้า เราได้แต่วิ่งต้วมเตี้ยมลงมาไม่ทัน ไฟคลอกตายแน่ หรือถ้าเราเดินตกท่อบางทีเราอาจไม่มีปัญญายกตัวเองขึ้นมาเนื่องจากหนักตัวเองเกิน หรือเอาง่าย ๆ ถ้ามีทางแคบคุณอาจไม่สามารถเดินผ่านได้ เพราะติดไขมันตัวเอง

จริง ๆ แล้วคนอ้วนบางคนอาจจะบอกว่า จะให้ทำยังไงพยายามแล้วนี่ มันอ้วนเอง อันนี้ก็โอเคบางทีมันอาจจะอ้วนแบบเป็นโรคต้องรักษาจริงจัง หรือทำใจ  แต่คนอ้วนบางคนนี่สิอยากจะผอมแต่กลับขุนตัวเองให้อ้วนเอา ๆ บางทีมานั่งอิจฉาคนผอมหรือนึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราอ้วนๆๆๆ อีกต่างหาก ที่เขียนมาเนี่ย มันจะสะกิดใจพวกที่อ้วนแล้วอยากผอม มัวแต่มีข้ออ้างและโทษคนอื่น แต่จริง ๆ เพราะทำตัวเองทำตัวเองแท้ ๆ เพราะงั้นถ้าอยากผอมจริง ลองสำรวจพฤติกรรมของตัวเองดูว่า ทำไมเราถึงอ้วน แล้วก็ลองแก้ปัญหาดู ถ้ามีความมุ่งมั่นพยายามจริงจังซะอย่างรับรองผอมชัวร์ ๆ........ร่างกายอวบ ๆ ต้องแพ้ใจที่มันหนักแน่นแน่นอนนะหนูน้อย ^^

Wednesday, 8 August 2007

สมัครแอร์ (สจวต)


พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอาจเป็นงานที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยากจะเป็น โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ไฟแรง (เพราะว่าแก่ ๆ สมัครไปโอกาสได้ยาก บางที่จำกัดอายุด้วย) ถ้าเทียบกับงานบริการต่าง  ๆ พวก call center,customer service หรือพวกงานโรงแรม   การเป็นสจวตน่าจะดูหรูหราไฮโซกว่าเยอะเลยถ้าเทียบกับงานบริการอื่น ๆ 

และเป็นงานที่น่าสนใจเป็นแล้วได้เชิดหน้า(ชูคอ) สำหรับบางคนด้วยนะ แม้ว่าจะขึ้นไปเป็นเด็กเสริฟและขัดส้วมบนเครื่องบินก็ตาม อิอิ (อย่ามารุมด่านะ มันจริงนิ)   สำหรับคนที่ชอบและอยากทำงานบริการจัดว่าเป็นอาชีพที่เป็นเป้าหมายสูงสุดเลยนะ และที่สำคัญผู้ชายไทยส่วนมากที่สมัครหรืออยากทำงานจำพวกนี้ได้มักจะเป็นเกย์ กระเทยแทบหมดทั้งก๊กเลย ให้ตายเหอะ!!

สมัยผมยังเด็ก ๆ ก็เคยไปสมัครดูกับเค้าเหมือนกันนะ  อารมณ์เหมือนข้อแก้ตัวของพวกนางงามหรือดาราหนะ คือไปเป็นเพื่อนเพื่อนแล้วก็ถือโอกาสสมัครด้วยแล้วกัน (จริง ๆ ใจก็แอบหวังอยู่เหมือนกัน เผื่อฟลุคได้ขึ้นมา)  คุณสมบัติขั้นต้นที่แน่ ๆ คือ ต้องไม่เตี้ย ต้องไม่อ้วน คิดจากเอาสัดส่วนน้ำหนักลบส่วนสูง เพราะงั้นพวกเตี้ยผิดปกติหรืออ้วนผอมเกินพิกัดก็ไม่ต้องเสล่อไป แม้จะภาษาดีก็อดสมัครตกตั้งแต่ร่างกาย โทษใครก็ไม่ได้ เกิดใหม่เท่านั้น  

พวกรายละเอียดขั้นตอนประสบการณ์การสมัครและอื่น ๆ  สำหรับบางคนถ้าอยากรู้ ไปอ่านดูเองใน www.thaicabincrew.com ทั่วไปต้องมีผลคะแนนโทอิค ก็จงไปสมัครสอบซะ สอบ ๆ ไปเหอะให้คะแนนผ่านเกณฑ์ของสายการบินนั้น ๆ ไม่ยาก ถ้าใครสอบแล้วคะแนนสมัครไม่ได้ซะที ก็พยายามเข้า ถ้าสอบสักร้อยรอบยังไงก็คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ซะทีก็ไม่ต้องไป เพราะมันไม่ได้ยากอะไรมากมาย

สมมติถ้าสอบได้ก็เอาไปเป็นหลักฐานยื่นสมัครได้แล้ว  เริ่มต้นเตรียมตัว ๆ แน่นอนต้องมีรูปถ่ายเพื่อใช้ประกอบการสมัครงาน ซึ่งคนทั่วไปมักจะพยายามหาร้านที่ถ่ายแล้วออกมาหน้าไม่เหมือนเรา (ดูดีกว่าตัวจริง) ผมก็ไปถ่ายรูปตามร้านที่เค้านิยม ๆ ที่บอกว่าแต่งรูปเนียนให้มันดีกว่าตัวจริง ๆ เยอะ ๆ ไม่รู้ข้อดีข้อเสีย เพราะตอนเจอตัวจริง แล้วเราดูแย่กว่าในรูปเนี่ย

เล่าตอนไป walk-in  เลยดีกว่า บรรยากาศดูละลานตา มีชายใส่สูทเต็มไปหมด ผู้หญิงขอไม่เอ่ยถึง ไม่ค่อยได้มอง อิอิ แต่ว่าชายเทียมเยอะมากกกกกกกกกถงึมากที่สุด ถ้าจำแนกตามสัดส่วนของผู้สมัครจะพบว่า กระเทยสาวแตกมีจำนวนมากมาเป็นอันดับต้น ๆของผู้สมัคร พอ ๆ กับกระเทยเก๊กแมน แต่โดยรวม(ผ่าน ๆ )ก็ถือว่าดูผู้ชายดีโดยเฉพาะตอนสัมภาษณ์จะแมนกันเป็นพิเศษ ขอนินทาหน่อยเหอะ บางคนเนี่ยหน้าตาอุบาทว์ดูไม่ได้ ดูไม่ดี บางคนเตี้ย บางคนอ้วนพุงห้อย  

อาชีพนี้รูปลักษณ์ก็จัดว่าสำคัญนะ บางคนสิวเขรอะยังช่างกล้ามาสมัคร แต่จะว่าไปโอกาสมีมา ถ้าใจมันอยากเป็นถึงรูปลักษณ์ทางกายภาพไม่ได้ ก็น่าจะลองเสี่ยงดู เผื่อดวงดีเนาะ ถ้ามีความสามารถพอมากกว่าภายนอกที่ขัดลูกกะตา ก็ยังมีโอกาสลุ้น ๆ

โอกาสสมัครแล้วได้งาน จะว่าไปก็ง่ายมาก ถ้าเราภาษาดีสุดยอด หน้าตาดี หุ่นดี พวกนี้ได้ชัวร์ ๆ แต่มักมีไม่กี่คนที่คุณสมบัติพร้อมแบบที่ไปสมัครได้ชัวร์ ๆ แบบนี้ เพราะคนทั่วไปส่วนใหญ่ รวมทั้งผมก็มักจะเป็นพวกหน้าตา บุคลิกไม่ให้ ความสามารถไม่ให้แต่ใจอยากสมัคร ก็พอมีความสามารถ(บ้างนะ) แต่ต้องลุ้นเอา เพราะคนแข่งขันสมัครเยอะมาก สมมติ รับสิบคน อาจจะมาสมัครกันซะเป็นร้อยคนอะไรแบบนี้ เล่าคร่าว ๆ ขั้นตอนการสมัคร ขั้นต้นไปถึงวัดส่วนสูงช่างน้ำหนัก 

ยื่นหลักฐาน รอคิวเตรียมสัมภาษณ์ ระหว่างรอก็แอบมองดูว่าคนอื่นเค้าดูดีกันมั้ย ก็มักจะพบว่ามีพวกเชี่ยวชาญกร้านเวที คือสมัครมาแล้วหลายสายการบิน พวกนี้จะดูคล่องไม่ประหม่า เชี่ยว ๆๆ มีพรรคพวกที่ใจรักเหมือนกันมาสมัคร ขณะเดียวกันก็มีพวกเด็กใหม่ ไม่เคยมาสมัคร จะดูประหม่าตื่นเต้น ดูปุ๊ปรูปั๊ปเลยว่าพึ่งเคยมาสมัคร แต่บางคนก็เนียนทำตัวมืออาชีพ แบบผมเป็นต้น อิอิ อย่าลืมแต่งตัวเนี้ยบ ๆ ทำผม อย่าทำหน้ามันมาหละ

ขั้นตอนโดยส่วนใหญ่มักจะคล้าย ๆ กัน คือ ถ้าสัมภาษณ์ผ่าน ก็ต้องไปสัมภาษณ์อีกรอบ ทำข้อสอบจิตวิทยา ตรวจร่างกาย สอบว่ายน้ำ แล้วรอผลซึ่งมักจะนานเป็นเดือน แล้วก็ได้งาน แล้วก็ต้องเทรนอีกเป็นเดือน ๆ กว่าจะได้ทำงาน เพราะฉะนั้นหลายคนจึงมักทำงานกินเงินเดือนไปวัน ๆ แล้วแอบลางานไปสมัครแอร์สจวต เพราะถ้าจะให้มุ่งมั่นรอ โดยการตกงานเพื่ออาชีพนี้ คงต้องรอจนเหงือกแห้ง เพราะแม้จะได้รับเข้าทำงาน ยังต้องใช้ระยะเวลารอเลยกว่าจะเรียกเทรน

ผมเคยไปสมัครแค่ไม่กี่ที่ (สมัครตั้งสองที่แนะ) น่าขายหน้าจริง ๆ ตกรอบไม่เคยได้ซะที แล้วก็ตอนนี้เปลี่ยนแนวคิดแล้ว ค้นพบซะก่อนว่าไม่ใช่อาชีพที่เราอยากจะทำในอนาคตแน่ ๆ เลยไม่รู้จะสมัครทำไมอีก (เดี๋ยวยิ่งสมัครมากตกรอบทุกที สถิติไม่ได้งานจะยิ่งเยอะน่าดู ฮ่า ๆ ) แต่สำหรับใครที่อยากเป็นสนใจ อยากหารายละเอี
ยดต่าง ๆ อ่าน ต้องเข้าเลยเวปนี้เวปเดียวดังสุด ๆ ใคร ๆ ก็เข้า www.thaicabincrew.com (โฆษณาให้ตั้งสองรอบแนะ) โชคดี ๆ

Sunday, 22 July 2007

เกย์โรคจิตตามห้องน้ำสาธารณะ(อีกแล้ว)


ไม่อยากเชื่อเลยให้ตายเหอะ ว่าสมัยนี้มีแต่คนโรคจิต ผมในฐานะที่โรคจิตนิดหน่อย เลยสามารถมองเห็นพวกโรคจิตที่ปะปนอยู่ในสังคมได้เป็นพิเศษเหมือนมีตาทิพย์ พูดง่าย ๆ เหมือนคุณเป็นเกย์ แล้วคุณเดินไปในที่สาธารณะ คุณก็สามารถแยกแยะว่าใครเป็นเกย์หรือไม่เป็นได้คร่าว ๆ จากการสบตา 

ซึ่งคนที่ไม่ได้เป็นเกย์ อาจจะไม่รู้ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น  ผมก็สามารถเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วมองปราดไปสะดุดกับพวกเกย์โรคจิตได้ง่ายดาย เอ แต่จะว่าไป พวกนี้ดูง่ายจะตาย ไม่ต้องมีเซนส์อะไรก็เจอดาษดื่นทั่วไปหมดเลย ยังกะแมลงวันยั้วเยี้ยตอมขี้เลย

ในฐานะที่ผมเป็นคนหน้าตาปานกลาง ทำให้มีโอกาสได้ถูกลวนลามทางสายตาในห้องน้ำชายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งพวกนี้แบบที่เคยเล่าไปจะเอาสายตาลวนลามอวัยวะเพศเราอย่างไม่อายแก่ใจ มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกภูมิใจว่าของเราน่ามองหรอกนะ

เพราะพวกนี้มันโรคจิต แค่เห็นอวัยวะเพศของชายไม่ว่าหน้าไหน มันก็อยากดูทั้งนั้น ไม่เกี่ยงรูปร่างหน้าตาหรอก ซึ่งผมเดาเอาว่า ต้องมีพวกโรคจิตเหมือนกัน ที่น่าเอน็จอนาจมาหาคนโชว์ด้วยกันตามห้องน้ำสาธารณะก็คงไม่น้อย ถ้าเจอกันคงแจ็คพอตได้มีโอกาสได้เสียกันเป็นแน่

ชีวิตประจำวันของผมเจอบ่อย จนงงว่านี่มันเป็นเรื่องปกติของสังคมในที่สาธารณะ เหมือนเราเห็นขอทานข้างถนนรึเปล่าเนี่ย เพราะว่าปวดฉี่ ไปเข้าห้องน้ำสาธารณะแถวปากซอยแถวบ้าน ไปสิบครั้ง เจอพวกจิต ๆ สักเจ็ดครั้ง พูดจริงๆ เลยนะ ป่าวโม้  น่ากลัวมาก ๆๆ ด้วย  

หน้ามัน ๆ ดำ ๆ หื่น ๆ สายตาลอกแล่ก คอยมองเหยื่อเข้าส้วม แล้วทำยืนล้างมือ พอเราเดินไปฉี่มาฉี่ประกบ อุบาทว์มาก บางทีผมรำคาญก็ขี้เกียจปิด ยืนฉี่หนีบ ๆ เพราะคนมันปวดฉี่นินา ก็ให้มันมอง ๆ ไป แล้งเราก็รีบทำธุระของเราให้จบไป บางคนน่ากลัวถึงขนาดยืนประจำโถฉี่ไปเลย ประมาณว่าคนมายืนหมุนเวียนฉี่สิบคนข้าง ๆ โถที่เค้ายืน มันก็ยังยืนอยู่ไม่ไปไหน ฉี่ไม่เสร็จซะที สงสัยกินน้ำทะเลมาเยอะมั้ง บางครั้ง บางคนหน้าตาปกติไม่ดูโรคจิตมาก ๆ แต่ว่าผมไม่แน่ใจไงว่าเค้ามองเวลาเราฉี่มั้ย เดาว่าเราคงคิดมากเอง

เพราะผมก็ไม่กล้าสบตาคนเวลาผมยืนฉี่ข้าง ๆ เพราะผมไม่อยากมองหน้าใครอยู่แล้ว เรามาฉี่นิ แต่ว่าพอผมเดินมาล้างมือ แอบเหลือบ ๆ ดู ทำให้เห็นว่ามันก็แอบมองคนที่มาฉี่ถัดมาและถัดมาแบบเนียน ๆๆ เรื่อย ๆ เลย (ไอ้เราก็ช่างเสือกไปแอบมองพวกนี้อีกที อิอิ)

ไปห้องน้ำในห้างแถวที่ทำงานก็เจอแนว ๆ นี้  ไปห้องน้ำในห้างต่าง ๆ ก็เวลาไปเที่ยว ก็เจอคนโรคจิต มันเยอะมาก จนน่ากลัว จนสงสัยว่าผู้ชายมันขาดแคลนมากเลยเหรอเนี่ย ต้องมาหาเอาตามส้วม หรือว่าจิตใจมันเสื่อมโทรม จนต้องมาทำตัวเสื่อมทรามให้สังคมรังเกียจเนี่ย ขนาดผมเป็นเกย์ชอบผู้ชายยังรังเกียจเลย แล้วประสาอะไรกับผู้ชายแท้ ที่เค้าจะยิ่งรังเกียจรู้สึกทุเรศเป็นทวีคูณกับพวกบ้ากามตามส้วมเนี่ย

วิธีแก้ปัญหามันไม่มีเท่าไหร่ เพราะยังไงผู้ชายมันก็ไม่เสียอะไร แล้วพวกนี้โดยมากคงไม่ทำร้ายใคร เพราะมักจะขี้ขลาด แค่โรคจิต หื่น อยากดูของลับ แค่นั้น คงน้อยที่จะมาลวนลามจริงจัง ถ้าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย ถ้าแค่ปวดฉี่จะให้ไปเข้าห้องน้ำปิดประตูก็เกินไปและ เพราะเรายืนฉี่ที่โถสะดวกกว่า แล้วอีกอย่างเราปวดฉี่ของเรา ไม่ได้ทำไรผิด คงไม่ต้องไปกลัวพวกที่มันผิดปกติทางจิตใจหรอกมั้ง แค่เตรียมหมัดไว้ชกก็พอกรณีฉุกเฉิน ฮ่า ๆ ^^  

ช่วงปรับตัว


ถ้าคุณเคยรักใครจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำพูด คงจะเข้าใจความรู้สึกดี ว่าความสุขจากการที่ได้รักใครเป็นยังไง แต่เรื่องความสุขพูดไปคนก็จะอิจฉาเปล่า ๆ อิอิ พูดเรื่องในแง่ลบดีกว่า มีความสุขแน่นอนมันย่อมมาพร้อมกับความทุกข์เป็นสัจธรรมของโลก ตราบใดที่ยังไม่ใช่นักบวชหรือพวกบรรลุธรรม คงจะรักโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนมันยากมาก สำหรับผมรักแล้วก็ยังมีความคาดหวังว่าจะได้การตอบสนองกลับมาอย่างที่ต้องการ บางทีเรารู้สึกดี ๆ ด้วย ก็อยากให้แฟนรู้สึกดี ๆ แบบที่เรารู้สึกดี ๆ 

แต่มันคือคนอีกคน จะไปบังคับให้ทำแบบนั้นแบบนี้ถึงแม้เค้าจะทำตาม มันก็ไม่ใช่ความสุข เพราะความสุขจากแฟนต้องเป็นการกระทำที่เราได้รับการปฏบัติจากใจจริง ๆ ไม่ใช่การทำตามหน้าที่แฟนที่ดี บางครั้งมีคนด่าว่า แกมันไม่ได้เรื่อง หรือทำท่าหมั่นไส้รำคาญเรา ผมจะไม่รู้สึกอะไร (หน้าค่อนข้างหนา) แต่ถ้าเป็นแฟนของเราพูด มันรู้สึกเสียใจและรู้สึกมากกว่าคนอื่นหลายเท่า เพราะคนที่เราไว้ใจ มันเหมือนกับการโดนทำร้ายจากคนที่เรารักมันจะเจ็บกว่า

โดยศัตรูทำร้ายแน่นอน และผมพึ่งค้นพบว่าคนเรายิ่งอยู่ด้วยกันใช้เวลากันมากขึ้น แบบผมกับแฟน ข้อดีคือรู้จักตัวตน นิสัย จิตใจของกันและกันมากขึ้น แต่ข้อเสียมาก ๆ ก็คือ ทำให้เห็นข้อเสียของกันและกันมากขึ้น ๆๆๆ อีกทั้งความเป็นกันเอง เหมือนอารมณ์คนมันกันเองรู้กันแล้ว ทำให้เกิดอาการชิน การไม่ใส่ใจ เช่น สมมติ ถ้าเราพึ่งคบกันใหม่ บางทียังมีความเกรงใจ บางทีจะถามว่าไปกินข้าวไหนดี  บางทีพูดอะไรทำอะไรก็ระวัง กลัวไปทำไม่ดีใส่ แต่ถ้าคนมันกันเองแล้ว มันจะมึน ๆ ไม่ใส่ใจในอารมณ์รายละเอียด ของกันและกัน

แรก ๆ พูดอะไรก็อยากฟัง อยากคุย อยากเจอกันตลอดเวลา หลัง ๆ พูดอะไรบางทีรำคาญญญญ ไม่อยากฟัง บ่นอะไรวะเนี่ย บางทีวันนี้เหนื่อยแล้วไม่เจอหน้ากันบ้างดีกว่า อยากได้เวลาส่วนตัว เป็นต้น

ชีวิตคู่ของคนมันมักจะมีวัฎจักรแบบนี้ คือ ช่วงแรก รักมาก หลงมาก อะไรก็ดี หลัง ๆ แม้จะดีต่อกัน แต่ความรู้สึกที่หวือหวามันจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งคนมักจะเลิกกันเมื่อเบื่อหรือคิดว่าถึงจุดอิ่มตัว  ช่วงนี้ถ้าเราปรับตัวกันได้ยอมรับข้อดีข้อเสียความแตกต่างกันได้ มันก็จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้นาน ซึ่งผมก็หวังว่าผมจะมีวันนั้นเช่นกัน รักนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยจริง ๆ ให้ตายเหอะ !!!

ตรวจเอดส์


เอดส์เป็นเรื่องที่เหมือนจะไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วไกล้ตัวกว่าที่คิด ถ้าคุณซื่อสัตย์กับแฟน ก็ไม่ได้หมายความว่าแฟนที่ซื่อสัตย์ของคุณจะไม่มีวันเผลอผิดพลาด แม้ตัวคุณเองก็ตาม แม้แต่บางอย่างที่ดูแล้วไม่น่าจะมีโอกาสเสี่ยงมากมายแต่มันก็มีได้ 

อย่างเช่น คนรู้จักของผมติดเอดส์จากแค่การประมาท อยู่หอเดียวกันกับเพื่อนอีกคน แล้วใช้ที่โกนหนวดร่วมกัน ภายหลังพบว่าเค้าติดเอดส์จากเพื่อน เคยได้ยินข่าวบางคนไปโรงพยาบาลผ่าตัดแล้วติดเอดส์จากเข็มของโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด(ดวงสุดซวย) 

จะว่าไปมันเหนือการควบคุมอย่าไปคิดเวอร์ขนาดนั้นเลย เอาเป็นว่าเรื่องที่เราพอที่จะควบคุมได้ก็คือการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งควรจะใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งแม้จะไม่ได้ป้องกันร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็จัดว่าปลอดภัยสูง และไม่ได้ถือว่ายุ่งย่างแต่อย่างใด

ที่พูดมามันคือหลักการง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้ แต่ที่มันยากคือการปฏิบัติจริง อย่างเช่นผมเป็นต้น (ในอดีต) ซึ่งทำให้ผมจำเป็นต้องไปตรวจเลือดว่ามีเชื้อ HIV รึเปล่า ไม่เชิงลุ้นเท่าไหร่ว่าจะเป็น แต่โอกาสเป็นมันก็ถือว่ามี เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจเลยต้องตรวจดู 

การตรวจเลือดบางคนอาจจะอาย อาจไม่อยากเปิดเผยตัว ซึ่งก็มีพวกคลินิคนิรนามที่เราไม่จำเป็นต้องเปิดเผยชื่อ และสมัยนี้สามารถรู้ผลตรวจได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง การเตรียมตัวก็ไม่ต้องอดน้ำอดอาหารอะไรเลย แต่ถ้าจะเอาผลที่ชัดเจนมั่นใจ ต้องเว้นระยะจากวันที่คุณคิดว่ามีความเสี่ยงสักสามเดือน เช่น สมมติไปมีอะไรกับคนที่เราไม่แน่ใจว่าเค้าเป็นมั้ยโดยไม่ใส่ถุง 

นับจากวันนั้นเราก็ต้องเว้นระยะถึงสามเดือนเพื่อตรวจ(หยุดการมีเพศสัมพันธ์สามเดือนคงไม่ตาย อิอิ)  เพราะสมมติว่าวันนั้นถึงเราเป็นเอดส์จริง แต่ว่าถ้าเราตรวจเลยช่วงเวลาที่เร็วเกิน ผลเลือดก็จะเป็นลบอยู่ดี (หรือก็คือตรวจไม่พบเชื้อ) เพราะฉะนั้นการตรวจเอดส์ก็ต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าว่าจะตรวจพอสมควรนะ  เข้าเรื่อง พอไปถึงคลินิคตรวจ ก็แจ้งชื่อปลอม แล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่มาพูดคุยให้ความรู้นิดหน่อย (ขี้เกียจฟัง) รู้หมดแล้วว่าต้องระวังยังไง พูดซ้ำซาก ฮ่า ๆ 

แต่ว่าถ้าตูไม่ประมาทคงไม่ต้องมานั่งฟังเค้าพูดแบบนี้อีกหรอกเนอะ อืม ๆๆ  ก็แกล้งฟัง แกล้งโกหก แกล้งเออออไป แต่จริง ๆ แล้วถ้าเราพูดความจริง หรืออยากถามความรู้อะไรสำหรับคนที่สงสัยหรือไม่มีความรู้บางอย่าง ก็ถามไปเลยนะ ไหน ๆ เสียเงินตรวจแล้วเนี่ย  จากนั้นก็เจาะเลือดรอผลตื่นเต้น ๆๆ ลุ้น ๆๆ ว่าจะหมดอนาคตรึเปล่า แต่สุดท้ายในที่สุดผมก็ไม่เป็นเอดส์ วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ จบจบจบ 

ทิ้งท้ายอย่างเป็นทางการไว้ว่าคนที่มีเพศสัมพันธ์ แม้จะแค่กับคู่ของตนก็ตาม ควรที่จะตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีสักปีละครั้ง หรือจะสี่เดือนครั้งได้ยิ่งดี ถือซะว่ามันเป็นการตรวจเช็คสุขภาพก็แล้วกัน และถ้าจะดีไปกว่านั้น ก็อย่าสำส่อนและถึงแม้ไม่สำส่อนก็ป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะเป็นการดีที่สุด

 โหหหหหห  ครั้งนี้เขียนทางการมาก ๆอิอิ

Friday, 20 July 2007

Eternal Summer



เรื่องย่อ

เชนและโจนาธานรู้จักและเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก โดยทั้งคู่เริ่มต้นสนิทกันจากการที่ครูขอร้องให้โจนาธานคอยดูแลเชน เด็กเกเรประจำห้องที่ไม่มีคนคบ ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันและอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา และเป็นเพื่อนที่ดีของกันและกัน จนกระทั่งหญิงสาวชื่อแครี่ได้เข้ามารู้จักกับโจนาธาน 

เธอชอบโจนาธานมาก ขณะเดียวกันโจนาธานก็ดูท่าจะมีใจให้เธอเช่นกัน แต่ในที่สุดโจนาธานก็ไม่อาจจะฝืนใจมาคบกับแครี่ได้ เนื่องจากในใจของโจนาธานมีแต่เชนเท่านั้น เรื่องราวอะไรมันคงง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะเชนและโจนาธานต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่  โจนาธานจึงได้แต่เก็บความรู้สึกไว้เป็นความลับในใจเงียบ ๆ โดยที่แครี่ก็รับรู้เข้าใจและสามารถตัดใจจากโจนาธานได้แม้จะโศกเศร้าก็ตาม โดยเธอสัญญาจะรักษาความลับนี้ไว้ตามที่โจนาธานขอร้อง 

ทางฝ่ายเชนก็กลับคิดว่าโจนาธานและแครี่ชอบกัน และเขาเริ่มรู้สึกหึงหวงโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้แครี่เข้ามาพัวพันอยู่ในชีวิตของชายหนุ่มทั้งสองคน แต่เรื่องราวก็กลับตรงกันข้ามเมื่อเชนกลับไปชอบแครี่หลังจากที่รู้ว่าเธอไม่ใช่แฟนกับโจนาธานแล้ว โดยแครี่บอกว่าจะคบกับเชนก็ต่อเมื่อเขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยลัยได้ (เนื่องจากเชนขี้เกียจ ไม่มีแววสอบได้แน่ ๆ ) 

แต่ในที่สุดเชนก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยและเริ่มคบกับแครี่โดยที่ไม่ได้บอกให้โจนาธานรู้ แต่ใครจะรู้ว่าบางทีเชนอาจพยายามสอบเข้ามหาลัย จุดประสงค์นึงก็เนื่องจากเค้าอยากจะเอ็นท์ติดจะได้เรียนมหาลัยเดียวกับโจนาธาน (ซึ่งขยันและเอนท์ติดแน่นอน) ก็เป็นได้   ความสัมพันธ์ตอนนี้ระหว่างเชนกับโจนาธานเริ่มจะแย่ลง เนื่องจากเชนยังคงคิดว่าโจนาธานเป็นเพื่อนสนิทแบบเดิมคนเดิม 

ขณะที่เจ้าตัวเองไม่สามารถเผชิญหน้ากับเชนได้อย่างสนิทใจอีก เนื่องจากเค้ารู้ใจของตัวเองที่ไม่สามารถรักกับเพื่อนสนิทตามที่ใจต้องการได้  วันประกาศผลสอบเข้ามหาลัยกลับกลายเป็นว่าโจนาธานเลือกที่จะเรียนมหาลัยเอกชน ซึ่งผิดคาดกับที่ทุกคนคิด ในทางกลับกันเชนกลับสอบเข้ามหาลัยรัฐได้ และก็ได้เริ่มต้นแอบคบเป็นแฟนกับแครี่ โดยที่ไม่มีใครบอกให้โจนาธานรับรู้  

แต่ ณ วันนึงโจนาธานก็ได้รับรู้ว่าเชนและแครี่คบกัน ทำให้เค้าเสียใจอย่างมากกว่าที่ตัวเองคาดคิด และพยายามตัดขาดความสัมพันธ์เป็นเพื่อนกับเชน แต่แล้วก็เกิดเหตุทำให้ทั้งสองคนได้มีความสัมพันธ์กันเกินเพื่อน ในขณะที่เชนก็ยังชอบแครี่อยู่ด้วย .............
เรื่องราวต่อไป ก็ต้องไปลองหาหนังไต้หวันเรื่องนี้มาดูนะครับ ^^

Sunday, 11 February 2007

เพื่อน


ถ้าถามคำนิยามของคำว่าว่า “เพื่อน” มันมีหลายแบบมาก

บางทีผมก็สับสนกับประเภทของเพื่อน ว่าเพื่อนที่มีมันเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว หรือเพื่อนตาย

เพราะถ้าจะมาบอกว่าจะมีเพื่อนคนไหนจะมาตายแทนเรา มันออกแนวเวอร์และเพื่อนต้องรักกันสุดยอด

และเราจะตายแทนเพื่อนเหรอ ก็คงไม่ ถ้าจะตาย ขอตายแทนพ่อแม่พี่น้องซะดีกว่า

งงเหมือนกันว่า ทำไมเราเข้าไปเรียนในที่ใหม่ ๆ เข้าไปทำงานที่ใหม่ เราก็จะกังวลเล็กน้อยว่าเราจะมีเพื่อนที่สนิท หรือคนที่สามารถคุยด้วยมั้ย แล้วก็ไม่เห็นต้องพยายามหาเพื่อนที่เราอยากคบ เพราะสุดท้าย คนที่สนิทกลุ่มเดียวกัน มันจะเข้าหาจับกลุ่มกันได้เองโดยปริยาย

ตอนนี้ที่นึกออกผมมีเพื่อนหลายแบบ (ไม่นับคนรู้จักเฉย ๆ นะ ) เช่น

เพื่อนที่เราว่าง ๆ เราจะโทรหาได้ ยามไม่มีไรทำ

เพื่อนที่เราอยากไปไหนมาไหนด้วย ไปเที่ยวด้วยแล้วสนุก มีความสุข แต่ไม่เคยคุยอะไรกันลึกซึ้ง

เพื่อนที่เรานาน ๆ เจอที แต่เรามีปัญหาไร เราจะนึกถึงคนนี้

เพื่อนที่นิสัยดี ๆ เป็นที่พึ่ง ยามเรานึกถึง แต่ปกติเราก็ไม่ได้ติดต่อ (หวังว่าจะนึกว่าเราเป็นเพื่อนนะ)

เพื่อนในกลุ่มที่เราก็คุยด้วย แต่ไม่สนิทมากมาย ซึ่งในกลุ่มเพื่อน มันก็ต้องมีคนที่สนิทสุดในกลุ่มของเพื่อนอีกที

ฯลฯ

รายชื่อเพื่อนในโทรศัพท์บางคน ผมแอดเบอร์ไว้ แต่ไม่เคยโทรคุย แล้วเราจะแลกกันทำไมเนอะ อิอิ บางทีพอนึกจะโทรหาใครเล่น ๆ กลับพบว่า รายชื่อมากมาย แต่มีไม่กี่คนที่เรามักจะโทรหา

ยามที่เราสุขเราจะเหมือนมีเพื่อนมากมาย แต่ยามที่เราทุกข์ เราถึงจะพบว่า คนไหนกันแน่ที่เป็นเพื่อนของเรา ที่เราสามารถพึ่งพาทางจิตใจได้

เพื่อนกันไม่ต้องมีฟอร์ม ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องพูดอะไรมาก ก็เข้าใจกันง่าย

คนนิสัยดีมาก ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเรา

เพื่อนที่ดีมันกำหนดไม่ได้ ว่าต้องเป็นแบบไหน คนมันจะใช่ มันก็คือใช่ (คล้าย ๆ แฟนเลย ฮ่า ๆ)

ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าเพื่อนผมเป็นเพื่อนประเภทไหน แต่ก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงผมก็ดีใจที่ผมมีเพื่อนที่ดี

และเค้าก็สามารถพูดได้ว่า ผมเป็นเพื่อนที่ดีด้วย แค่นี้ก็ดีใจมากแล้วเนอะ

อึดอัด อับอาย ที่เป็นเกย์


น่าแปลกมากที่ผมยอมรับตัวเองว่าเป็นเกย์ได้ ไม่ได้รู้สึกทุกข์

แต่ผมกลับยอมรับตัวเองกลับสังคม กลับคนรอบข้าง

ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ญาติ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมัยเรียนไม่ได้

เป็นเกย์ที่หลายคนพูดกันไม่ใช่เป็นโรค

แต่ผมกลับอายคนอื่นเหมือนผมมีหาง หรือเขางอก เหมือนเป็นโรคที่เปิดเผยไม่ได้

 สมัยเรียน ถ้าครูหรืออาจารย์พูดถึงเรื่องเกย์ แม้จะไม่ได้ดูถูก ผมกลับหน้าชา เหมือนถูกตบ รู้สึกร้อนตัววูบวาบ

ถ้ามีคนรอบข้างพูดถึงเกี่ยวกับเกย์ ในบางอารมณ์มันก็ยากเกินกว่าจะทำมึนเหมือนทุก ๆ ที มันรู้สึกอึดอัด

หน้าแดงวูบขึ้นมา เคยมีหลายครั้งที่อยู่ในสถานการณ์นี้ ก็พยายามฝึกไม่ให้ตัวเองรู้สึกร้อนตัว อับอายในใจ แต่มันก็มักจะทำไม่ได้
 
มีหลายทางที่เราจะหลุดพ้นจากความรู้สึกเช่นนี้ คือ การยอมรับความจริง เปิดเผย แต่ผมไม่ทำ เพราะไม่ใช่กลัวคนอื่นรับไม่ได้ แต่ผมเองที่รับไม่ได้ที่เราต้องยอมรับกับคนอื่น ทั้งที่ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นได้
 
อีกทางก็คือ หลีกเลี่ยงออกจากสังคม เช่น หนีไปให้ไกลจากสังคมเดิม ที่เราเคยอยู่มา ให้พ้นจากเพื่อนสมัยเรียน ญาติพี่น้อง ครอบครัว แต่ถ้าเราหนีไป เราก็จะต้องพบสังคมใหม่ ๆ อยู่ดี เพราะงั้นจะหลีกเลี่ยงไปทำไม ยกเว้นหนีไปตายแล้วเกิดใหม่ อาจหนีพ้น ฮ่า ๆ
 
เพราะฉะนั้นอีกทางก็คือ ต้องอยู่ตามปกติ โดยต้องฝึกความหน้าด้าน หน้าทน ความชินชา ความเข้มแข็ง

เพราะเราก็คือเรา ที่เราตัดสินใจว่าจะมีชีวิตในลักษณะแบบนี้
 
แน่นอนว่าความสุขมีไม่เต็มที่ แต่จะว่าไป จะมีสักกี่คนที่มีความสุขสมบูรณ์ในทุกด้าน

และก็แน่ยิ่งกว่าแน่ ที่การปิดบัง ไม่เปิดเผย มันไม่มีทางทำให้เราสุขได้เต็มที่

คนที่มีความลับไม่ว่าเรื่องไหน จะไม่มีวันสบายใจหรอก
 
ความลับบางอย่างเปิดเผย แล้วสบายใจ แต่บางอย่างเปิดเผยไป ก็อาจจะทุกข์ใจมากขึ้น

เพราะงั้นเรื่องอะไรจะมาสร้างความทุกข์ใจให้ตัวเอง จริงมั้ย
 
คนที่ยอมรับเกย์ได้มีมากมายก็จริง แต่คนที่ยอมรับด้วยใจจริง โดยไม่นึกไม่แบ่งแยก

เหมือนมองว่าเราเป็นชาย หญิงแท้คงยากมาก

 การที่เค้าไม่รังเกียจเรา เค้าใจกว้าง ก็ไม่สามารถช่วยเราในด้านจิตใจได้เลย ตราบใดที่เรายังมีปมด้อยในตัวเอง
 
ถึงยังไงการไม่เปิดเผย ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสุดสำหรับผม ณ ตอนนี้ แม้จะไม่สุขมากมาย

แต่ก็ไม่ทุกข์เต็มที่เหมือนกันหละน่า (แล้วจะมาบ่นพร่ำเพร้อทำไมเนี่ย อิอิ)

เมื่อตอนเด็ก


ตอนเด็ก ๆ วัน ๆ ไม่มีไรทำ แต่วันหยุดมันจะต้องมีการนัดกันไปเที่ยว (แถวบ้าน) จริง ๆ แล้วไม่เชิงนัด ก็เพื่อนบ้านใกล้กัน ก็บางทีก็ออกไปเล่นบ้านเพื่อน เพื่อนมาเล่นบ้านเรา ออกไปเล่นแถวบ้าน พาหมาไปด้วย บางทีก็ขี่จักรยาน 

บางทีก็สอยมะม่วง บางทีก็กินมาม่าเอามาคลุกรวมกัน บางทีก็เล่นบ้าน ไปเล่นในเพิงเก่า ๆ เก็บของ (สมัยนั้นยังไม่มีอันตรายในที่เปลี่ยว) บางทีก็เตะบอล บางทีก็ตีแบด บางทีพ่อแม่ก็จับไปปล่อยว่ายน้ำรวมกันที่สระ แล้วพอเลิกว่ายก็ปล่อยให้ลูก ๆ รอ ซึ่งตรงนั้นก็จะมีสนามเด็กเล่นให้เล่น แล้วก็ซื้อไอติม ซื้อขนมกิน บางครั้งก็ปีนหลังคาเล่น (ต้องแอบพ่อแม่) บางที แอบพาหลานที่มาหาปีนไปด้วย (ดีนะที่ไม่ตกหลังคา) 

เพื่อนบ้านผมจะมีสองบ้านใกล้ ๆ กัน ก็จะไปเล่นกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะมันบ้านใกล้ มันไปกันเองโดยไม่ต้องนัด  ที่ชอบมากที่ยังจำได้คือเล่นซ่อนหา แถวบ้านที่เคยอยู่ มันจะมีต้นไม้ มีห้องเก็บของรอบ ๆ บ้าน มีที่ให้แอบสนุกมาก แล้วก็มีอีกกิจกรรม คือ นั่งรถสาลี่ (รถไม้ที่เอาไว้ขนขยะอะ เค้าเรียกกันงี้นะ) ก็เอาเก้าอี้ขึ้นไปบนรถนั่งกันหลายคน แล้วให้พี่ที่ทำทำงาน มาเข็น ๆๆ แบบเร็ว ๆ ประหนึ่งนั่งไวกิ้ง)  บางวันก็แอบเอาหนังสือพิมพ์ไปนั่งเผาไฟเล่น บางครั้งเวลาฝนตก ก็จะออกเอาร่มไปหลาย ๆ อันไปวางกับพื้นกางนอกบ้าน แล้วเข้าไปนั่งในนั้น

วัยนักเรียนต้องมีการเปลี่ยนแปลงคือ ตัดผม จากผมยาวน่ารักวัยอนุบาล กลายเป็นผมเด๋อ ๆ ทรงนักเรียนประถมน่ารักเหมือนเดิม อิอิ ตอนตัดช่วงใหม่ ๆ รู้สึกอายคนแถวบ้านมาก

แล้วสมัยก่อน ก็มักจะมีโฆษณาพวกรองเท้า แถมของเล่น ที่พอจำได้ มีฮูลาฮูป มีสปริงที่เดินลงบันได ของหลอกเด็ก ๆ หนะ สมัยนั้น ฮิตมาก สมัยนี้คงไม่มีแล้วมั้ง

สมัยนั้นมีความโหดสูง อย่าหาว่าใจร้ายนะ เคยเอายาฆ่าแมลงไปฉีดใส่อาหารหมา เพราะเกลียดนกกระจอกแถวบ้านที่เยอะมาก มันชอบมาแย่งอาหารหมากิน แถมขี้นกจะเต็มพื้นไปหมด ที่บ้านเก่ามีต้นไม้ใหญ่ เลยวางแผนเอาอาหารหมา ไปฉีดย่าฆ่าแมลง พอนกกระจอกกินก็เลยนอนตายเกลื่อนเลย น่ากลัวมาก สยอง 

ขอโทษด้วยคนมันยังเด็ก  บางทีก็ชอบเอาหมาตัวเองมาตรงที่มันมีทรายก่อสร้าง แล้วขุด ๆๆหลุมทราย แล้วเอาหนังสือพิมพ์ปูทับ แล้วหลอกหมาตัวเองให้วิ่งมาหา ให้มันตกหลุม ตอนนั้นขำ ตอนนี้สงสารจัง    วิธีจับผีเสื้อ แมลงปอ ก็คนอื่นเค้าจะค่อย ๆ ย่องไปจับใช่มะ ส่วนผมเหรอแรก ๆ ก็ทำยังงั้น แต่ค้นพบวิธีใหม่ 

คือ เอาไม้แบดไล่ฟาดให้มันตกลงมา ไม่ต้องเสียเวลาย่องจับ มันก็จะพะงาบ ๆ ลงมาร่วงกับพื้น ซาดิสม์จังวะ จำได้อีกอย่างจับผีเสื้อได้ แล้วเอาก้อนหินทับปีกไว้กลัวมันหนี แล้วไปเที่ยวเล่นต่อ บางทีก็เด็ดปีกแมงปอด้วย  มีอยู่ครั้งนึงพยายามเอาผึ้งเข้าไปในปากปลาแรด (ปลาตัวใหญ่) ปรากฏว่ากรรมตามสนองผึ้งมันต่อยนิ้วเราแทน

บาดเจ็บสมัยเด็กที่ประจำเลย คือ เข่าถลอก ข้อศอกถลอกเป็นสะเก็ดประจำเลย แล้วก็จะคัน ๆ อยากแกะ ๆ เพราะชอบวิ่งเล่นหกล้มกัน อีกอย่างคือนิ้วเท้าเนื้อเหวอะ จากการที่เตะบอลเท้าเปล่า แล้วชอบเอานิ้วเท้าไปจกพื้นให้เนื้อมันเผยอ อันนี้น่ากลัวสุดในตอนนั้น แล้วก็มีนิ้วส้นบ้างนาน ๆ ที อ้อ มีครั้งนึงไปวิ่งไล่กันแถวราวตากผ้าของบ้านอื่น แล้ววิ่งชนราว เย็บต้องหลายเข็ม

เด็กต่างจังหวัดอย่างผม (รวมทั้งถามจากเพื่อนต่างจังหวัดที่รู้จักทั้งหมด) พบว่า ทุกคนจะต้องเคยเหยียบขี้หมาด้วยเท้าเปล่า ๆ มาแล้ว เพราะมันต้องมีสักช่วงนึงตอนเด็กหละน่า ที่ถอดรองเท้าออกไปวิ่งเล่น แล้วก็ แหมะ!!

พอตกเย็นก็วิ่งกลับบ้านมากินข้าว หิว ๆๆ อร่อย ๆๆ ตลกดีที่ชีวิตวัน ๆ ทำแค่นั้นกลับมีความสุขมาก โดยที่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าสุขคืออะไร แต่มันสนุกไปวัน ๆ ไม่ได้คิดว่ามันมีค่า ขณะที่ตอนนี้โตแล้ว กลับต้องพยายามใฝ่หาความสุข แปลกดี ที่เล่ามาคือตอนเด็ก ๆ จริง ๆ  
แล้วก็เด็กบ้านนอกนะ ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบนี้รึเปล่า 

แต่เด็กสมัยนี้คงไม่แบบนี้แล้วมั้ง สมัยนั้นยังไม่มีเนตให้เล่น ยังไม่มีเกมมากมาย ยังไม่มีไรมากมายแบบตอนนี้เลย จะว่าไปสมัยเด็กเรา บรรยากาศจะคล้าย ๆ หนังเรื่อง “แฟนฉัน”เลยหละ    เฮ้อ คนแก่แล้วก็มักจะนึกถึงวัยเด็ก  ดีใจจังที่เราเกิดและโตมาเป็นเด็กต่างจังหวัดในสมัยนั้น  ^ ^

Wednesday, 7 February 2007

ยี้....สกปรก



ทำไมโลกนี้สกปรกมาก ๆ อยู่บ้านก็สกปรก ทำความสะอาดเท่าไหร่ ฝุ่นก็ลงมาอีก

หายใจก็มีแต่ความสกปรก เชื้อโรค สัตว์ประหลาด แบคทีเรียเต็มอากาศไปหมด

พอออกไปข้างนอกตามถนนก็สกปรก ยิ่งแถวถังขยะมีแต่อะไรเน่า ๆ เหม็นหืน

บนถนนก็สกปรก เวลาฝนตกน้ำเน่า กักขังตามพื้นที่ที่มีหลุม เดินที น้ำกระเด็นใส่สกปรกที่สุด

กินข้าวนอกบ้านก็สกปรก ร้านที่สวย ๆ ในครัวบางที่อาจจะเน่าก็ได้

เวลากินร้านตามสั่งธรรมดา เราเอาทิชชูเช็ดช้อน แต่จริง ๆ แล้ว ทิชชูก็สกปรก ถูไปเชื้อโรคก็ไม่ต่างกับไม่เช็ด

พอจะเติมน้ำจิ้ม เครื่องปรุงก็สกปรก เก่าป่าวไม่รู้ จานชามก็สกปรก

จะสั่งน้ำกินก็.. ยี้ ฝาขวดสกปรก ทำไงถึงเปิดขวดน้ำอัดลมให้เชื้อโรคไม่ทันวิ่งลงไปนะ

หลอดก็วางไว้รวม ๆ กันในที่สกปรก แล้วเราก็เอาปากไปอม ไม้จิ้มฟันอีก บรึ๋ย

จะนั่งบนรถประจำทางก็สกปรก ไม่รู้ใครต่อใครมานั่ง เอามือจับราวก็สกปรก เคยเช็ดมั่งมะเนี่ย

โหย พอล้วงกระเป๋าตังค์เอาเงินก็สกปรก เพราะมีเศษกระดาษที่สกปรกจากที่อื่น แถมเงินที่เราใช้ก็โสโครกมาก ๆ

คิดสภาพเกิดมีใครทำแบงค์ตกส้วม แล้วเสียดายเอาขึ้นมาเช็ด ๆ แล้วใช้ต่อไปสิ บวกกับสารพัดเชื้อโรคต่อ ๆ มา

พอเราเกิดอยากจะเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ก็จะอ้วก ถ้าต้องถ่ายหนักเนี่ย คงไม่มีทางนั่งลงไปกะโถแน่นอน

สมมติถ้าเอาผ้าเช็ดที่รองโถแล้ว ก็เหมือนกับการถูเชื้อโรคที่มีอยู่เดิมให้ทั่วไปหมดแทนนั่นเอง

ถ้ายืนโย่ง ๆ โหย่ง ๆ ไม่นั่ง เชื้อโรคก็ลอยขึ้นมาอยู่ดี

พอออกมาจะล้างมือ ก็ต้องจับหรือกดที่เปิดน้ำก๊อก ไม่รู้ใครก็ใครมาจับนะเนี่ย

เล่นเนตตามร้านก็ยิ่งสกปรก คีย์บอร์ดไม่รู้กี่มือมาจิ้ม ๆ  ยังไม่นับอุปกรณ์อื่นนะเนี่ย

เอาไงดีนะ ไปเดินห้างก็มีแต่สารพัดเชื้อโรคลอยเต็มอากาศ

กลับบ้านก็ได้ ง่วง ๆๆ มานอน แว้ก ที่นอนสกปรกอีกและ ฝุ่นลงนิดนึง เอาเหอะนอน ๆ ไป

ตื่นขึ้นมา ไอ้หยา ทำไมตัวเราสกปรก ขี้ตาก็กรัง น้ำลายยืด ขี้ไคลก็ผลิตออกมาจัง ปากก็เน่า น้ำลายบูด

ปวดหัวมากเลย ทำไมตัวเราทำความสะอาดเท่าไหร่ก็สกปรกอยู่ดี

ทำไงดีเนี่ย เราอยู่ในโลกแห่งความสกปรกโสมม สกมก ทุเรศ อุบาทว์

แม้แต่ใจเราก็สกปรกจนคนมองเห็น ใครก็ได้ช่วยด้วย...ความสะอาดอยู่ที่ไหนนะเนี่ย... ^ ^

Tuesday, 6 February 2007

My first blind date

 


ว่ากันว่าคนเรายามแก่ชราขึ้น ก็มักจะนึกย้อนไปถึงอดีต ในฐานะคนแก่งั่ก ๆ อย่างผม  ก็ย่อมจะย้อนกลับไปนึกถึงอดีตตอนนัดบอดครั้งแรกด้วย ครั้งแรกมันเป็นอะไรที่ตื่นเต้น กลัว ระแวง กังวล วิตก โดยเฉพาะคนที่เรื่องมากอย่างผม  ก็ยิ่งวิตกจริตเป็นพิเศษ

ตอนนั้นผมอยู่มหา’ลัย ปีไรไม่รู้ รู้แต่ว่าหน้ายังละอ่อน ตอนนั้นก็คนมันไม่เคย ก็กังวลว่าเราจะดีพอมั้ย เค้าจะประทับใจเรามั้ย กังวลสารพัด  ขอเล่าอดีตขึ้นไปอีกนิด อารมณ์ตอนนั้นมันเหงามาก ๆ ไม่ต้องพูดยาวนะ ทุกคนคงรู้ว่าช่วงเหงาสุด ๆ มันแค่ไหน ผมก็ขวนขวายหาคนทางเนต แต่คุยทางเอ็ม มันก็ไม่ถูกใจ คุยทางโทรมันก็ไม่ถูกใจ ดูรูปก็ไม่ถูกใจ อะไร ๆ ก็ไม่ถูกใจ อารมณ์ตอนนั้นไม่ได้เรื่องมากแบบตอนนี้นะ แต่ว่ามันกลัวมาก ระแวงมาก มันเลยไม่กล้ากลัว เลยไม่กล้าเจอใครซะที

เข้าเรื่อง ๆ คนที่ผมเคยติดต่อ คุย ๆ หา ๆ มา ผมกลับไม่ได้ลองนัดเจอตัวจริงสักคน แต่ผมดันมานัดกับเด็กคนนึง ซึ่งโพสในเวปบอร์ด ผมเลยแอดเมลมาคุย คุยแปบนึงตัดสินใจไปเจอวันรุ่งขึ้นเลย (ครับ ผมใจง่ายแต่เด็ก ความเหงามันรอไม่ได้ครับ) ผมก็ไม่ได้เห็นรูปเค้านะ อารมณ์ตอนนั้นผมก็ไม่หื่น แต่มันอยากเจอใครสักคน ก็เลยตัดสินใจไปเจอน้องคนนี้ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ควรจะเจอคนอื่นที่เคยคุย ๆ มามากกว่าอีก ถ้าเทียบตามหลักเหตุผลว่าใครควรเจอก่อนเจอหลัง (ยังไงก็ขอบคุณน้องมาก ๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นการนัดบอดให้)  

น้องเค้ายังเรียนอยู่ปีหนึ่งปีสอง น่าจะยังเอาะ ๆ ก่อนเจอน้องเค้าบอกว่า หน้าตาเค้าญี่ปุ่นขาว ตัวเล็ก ประมาณเนี่ย ก็ไม่ได้โทรศัพท์คุยด้วยมากมายนะ พอน้องเค้าโทรมา ผมก็รีบตัดบทวาง ๆ คือกะจะนัดเจออย่างเดียว อย่ามาคุย กลัวตื่นเต้น คุยไม่ถูก ก็นัดเจอ ณ ห้างที่คนพลุกพล่านใจกลางเมือง สถานที่คือร้านหนังสือชั้นโรงหนัง (เล่าละเอียดมาก อิอิ)  วันนั้นผมก็ไปสายนะสักห้านาที ก็เดินผ่านร้านหนังสือแวบนึง ชะแว้บๆๆ พยายามสอดส่ายสายตา ประเมินเอาจากสัดส่วนที่น้องบอกมา ว่าตัวเล็ก ๆ สูงหนักเท่านี้ ไม่เห็นมีใครเข้าเกณฑ์ ยืนอยู่ตรงนั้นเลย ทำไงดีหว่า ยอมรับว่าปอดแหก กลัวจริง ๆ ขอย้ำอีกที คนมันไม่เคยนัดบอด

เข้าเรื่อง ๆ ต่อ ๆๆ ก็เลยลงไปชั้นไปสงบสติว่าจะไปเจอดีมั้ย ไม่กล้าโทรหา สักพักน้องเค้าโทรมาบอกว่า “พี่อยู่ไหน ผมถึงแล้ว” ก็บอกกำลังขึ้นไป แต่จริง ๆ คือขึ้นจนลงมาและ กลัว ๆๆ  น้องเค้าก็โทรมาหลายรอบ แบบไม่กล้าขึ้นไป ผู้คนดูพลุกพล่านจะเริ่มทักกันยังไง จะผิดคนมั้ย น้องจะเป็นผีป่าว ทำไมเรากลัวจัง เลยบอกให้น้องเดินลงมาได้มั้ยครับ แล้วช่วงนั้นผมก็รีบขึ้นไป กะว่าจะเดินสวนกับน้องเค้า (เห็นก่อนได้เปรียบ) ก็มีคนนึงเดินมา เห็นแล้ว ช็อค ผิดหวัง วูบ ๆ ปนกับความบ้าบอตื่นเต้น “คงไม่ใช่น่า” ผมคิดในใจ  แล้วน้องเค้าโทรมาอีก พี่ครับผมลงมาตรงชั้นนี้แล้ว เราเลยรีบตามไป สรุปกว่าจะเจอเลยเวลานัดไปชั่วโมงครึ่ง (ขอบคุณน้องที่อดทนกับคนวิตกจริต) แล้วก็ใช่เด็กคนที่เดินสวนแล้วทำเราช็อคจริง ๆ ด้วย

ก็ถามว่าน้องจะกินข้าวมั้ย จะดูหนังมั้ย สรุปว่าน้องเค้าอิ่ม (แต่ ตูนะหิวมาก ๆ ตื่นเต้นจนลืมหิว) หนังก็ไม่ดู (ดีแล้ว เพราะตอนแรกกะจะเข้าโรงให้มันพ้นสายตาคนอื่น จ บๆ กันไป) สรุปเลยไปเดินหาที่นั่งคุยกัน นั่งตรงที่นั่งสาธารณะ ก็นั่งคุย ผมก็เขิน และรู้สึกแปลก ๆ ประดักประเดิด (ยอมรับ ว่าไม่ชอบน้องเค้าแต่แรกเจอ แต่เอาวะมาทำหน้าที่ ต้องทำให้มันจบ แฟร์ ๆ ดี) ก็คุยไปมา สรุปว่าน้องเค้าถามว่า เค้า บลา ๆๆๆ มั้ย ผมก็เออ ดี ว่าไรว่าตามนั้น เวลามันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน อยากกลับบ้าน (ตูเป็นผู้ใหญ่กว่าแต่กลัวเด็ก แง้ ๆ) น้องเค้าก็ถามว่า “พี่ตื่นเต้นกลัวไรครับ” (รู้ทันเราอีกนะ ตอนนั้นฟอร์มไม่อยู่จริง ๆ) “พี่เป็นแฟนกับผมได้มั้ยครับ” (น้องช่างกล้าหาญมาก) เลยตอบไปว่า “เป็นพี่น้องกันดีกว่านะ” ตามด้วยโกหกว่า “พี่มีแฟนแล้ว” เฮ้อ โล่ง 

แล้วก็เดินไปส่งน้องเค้าป้ายรถเมล์ ส่วนน้องเค้ามีท่าทีชวนไปหอ (เค้าอยู่คนเดียว) เราก็พูดกันไว้และเลิกรากลับบ้าน แต่น้องก็โทรมาหาอีก แรก ๆ ก็คุยด้วยความเกรงใจ รู้สึกผิด ก็ปกติเวลาไปรู้จักใคร เราไม่เคยเสียมารยาทก็ต้องตอบสนองกลับสิ แต่โทรมาถี่ ๆ เลยไม่รับมันและ ไอ้เจ้ามือถือเฮงซวย (โทษ ๆ อุปกรณ์ ฮ่า ๆ) ครั้งสุดท้ายที่รับโทรศัพท์ น้องเค้าโทรมาด้วยเสียงกระเส่าว่า “ พี่ครับผมเหงามาก ๆ พี่มาค้างหอผมมั้ยครับ” โต้ตอบกันไปมา บอกว่ามีแฟนแล้ว บอกว่าไม่ว่าง น้องเค้าก็บอกให้มาคุยกันเฉย ๆ มาหาผมที่หอหน่อยนะ  ตอนไหนก็ได้

ณ เวลานั้นยังอ่อนต่อโลกมาก ยังมึนตึบได้แต่หนีหายตัดขาดไปจากน้องด้วยความกลัว แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ตอนนี้ จะขอวิจารณ์น้องว่า   “น้องช่างกล้า หน้าตาไม่ดี ตัวเล็กแทบลมปลิว ตัวเล็กมาก สาว ๆ แล้วมาบอกไม่สาว มีหน้าชมตัวเองว่าเป็นเด็กขยันอีก บุคลิกก็น่ากลัว หื่นก็ใช่เล่น ใจกล้าก็ใช่น้อย” (ปากจัดก็ยอมรับเหอะ มันความจริงนิ)

ตอนนี้ผมก็(คิดว่า)ตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้วระดับนึง มาคิด ๆ ดูเรื่องเก่า ๆ อยากจะบอกว่า ไม่ใช่น้องหรอกที่ไม่ดี แต่ผมเองที่มันห่วย แล้วยังมีหน้าไปตัดสิน ดูถูกคนอื่น คนเราจะเป็นยังไงก็ช่าง การนัดเจอกัน มันก็เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเอง เราเลือกไปเจอเอง คาดหวังมากเอง จะไปโทษอีกฝ่ายทำไม (แต่บางทีก็ต้องโทษมั่งหละ)

อีกทั้งอุดมคติ มโนธรรมที่เคยคิดไว้ว่า เราไม่มองคนจากหน้าตา เรามองคนจากนิสัย จิตใจ มันก็พังทลายลง (ไม่ใช่พังเพราะน้องนะ พังเพราะประสบการณ์หลายคนที่เจอมา)

ผมเลยค้นพบตัวเองว่า ผมมองคนจากหน้าตา รูปลักษณ์ด้วย ถ้าจะพูดให้มันดูดีก็คือ มันเป็นองค์ประกอบส่วนนึงที่มองข้าม(ยัง) ไม่ได้รวมกับนิสัย ใจคอและจิตใจด้วย  เฮ้อ...นิสัยดีอย่างเดียวมันไม่พอจริง ๆ สำหรับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน มันเป็นการยอมรับความจริงกับตัวเอง หรือว่าเราไหลไปตามกระแสแบบที่คนอื่นทำนะ อยากให้มีคนดี ๆ เยอะ ๆ ที่ยึดถืออุดมคติเหมือนอดีตที่ผมก็เคยคิดยังงั้นจัง เฮ้อ...