Showing posts with label Mr Handsome. Show all posts
Showing posts with label Mr Handsome. Show all posts

Sunday 9 June 2024

Mr Handsome returns


A regular contributor to this blog back in its heyday was Mr Handsome, a young gay Thai living in Bangkok.

When he started writing for the blog in late 2006, he had finished his studies and was taking his first steps into the adult world.

I cannot recall how we met (we never managed to do so in person), but we kept up regular email correspondence while our online friendship lasted.

At the time I provided a English translation to accompany his Thai, though I no longer have the English, as I deleted the posts that appeared on this blog.

Going through old emails, however, I found I still have his original pieces in Thai, and would like to repost them here.

His writing could be caustic, entertaining  and witty, as regular readers noted at the time.

He was a natural talent, and enjoyed sharing his stories. I am not sure if he ever showed his writing to his Thai friends, but Mr H was seldom short of story ideas, and could surprise me with some of the topics he chose.

A prolific contributor, Mr Handsome penned over 50 stories between December, 2006, with an opening piece about his quest to find a boyfriend, and June 2008, when he wrapped up his contributions with a story on Camfrog.

The first of his posts is here. I will put up the others gradually over the next couple of months, under the Mr Handsome label.

Note: Thanks to this site for the Chinatown pic. Most of the images which will illustrate his posts are unrelated, though in a few cases I have found pics which pertain to the subject matter, such as the films which Mr H reviewed back then.

Saturday 20 January 2007

เมื่อเพื่อนผมขายตรง


นั่นแน่ งงหละดิ ขายตรงขายตัวไร หมายถึงขายสินค้า ผลิตภัณฑ์หนะ  หลายคนต้องเคยประสบพบเจอมั่งหละ พวกที่มีขายอาหารเสริม เครื่องสำอางต่าง ๆ รวมไปถึงสินค้าอื่น ๆ อาทิ เช่น ผงซักฟอก เครื่องกรองน้ำ  กล่องทัพเพอแวร์ ถุงน้ำร้อน ฯลฯ เอาเป็นว่าขายสารพัดเลย มีหลายยี่ห้อดัง ๆเลย   จริง ๆ ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร เพราะในสายตาผมคนที่ทำอาชีพเหล่านี้คือคนทำมาหากินอีกอาชีพนึง บางคนก็ทำเป็นงานหลัก บางคนก็ทำเป็นงานเสริม หารายได้เพิ่ม ขยันดีออกนะ 

แต่วิธีการนี่สิ บางคน ย้ำบางคนจะตื๊อแบบน่ากลัวจิต ๆ หรือน่ารำคาญ ไม่รู้จะทำไง ไล่(แบบสุภาพ) ก็ไม่ไป ตัดบทได้ไปครั้งนึงก็ยังมีการติดต่อมาสม่ำเสมอ ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่รำคาญเรา พูดจาดีเสมอ (ทึ่ง ๆๆ จริง ๆ)  ขั้นตอนการขายที่ผมรู้มาจากที่เจอนะ ก็น่าจะคล้าย ๆ กันหละ คือ อย่างแรกชวนซื้อของ พูดจนเราซื้อก็ได้ (ใจอ่อนเสมอ ฮ่า ๆ) เพราะก็ไม่แพงอะไร (ซื้อให้จบ ๆ อย่ามายุ่งกะตูอีกนะ) แล้วซื้อราคาสมาชิกด้วยนะ ถูกซะด้วย 

บอกว่าพี่ใช้ชื่อพี่ซื้อให้น้องจะได้รับส่วนลด พอเวลาผ่านไปก็มีการติดต่อมาเรื่อย ๆ โทรมาถามที มาหาโดยตรงเองเลยว่า เป็นไงของดีมั้ย มีนู้นนี้สินค้าใหม่ ๆ พอหลงไปนาน ๆ เข้า ก็ชวนสมัครเป็นสมาชิก เพราะราคาสมาชิกจะได้ส่วนลดไง แต่ข้อแม้คือ ต้องซื้อสินค้าในราคาขั้นต่ำต่อเดือนเท่านี้ ซึ่งไม่ถือว่าไม่มากมายอะไร ถ้าเราใช้สินค้านั้นอยู่แล้ว แล้วคุณภาพก็ดี แต่บางทีถ้าเราอยากเปลี่ยนยี่ห้อมั่งหละ เราก็ต้องพยายามซื้อ ๆไรมาให้ยอดมันถึงไง (ลืมไปแล้วด้วยว่า ถ้าทำยอดไปเนี่ยจะได้ประโยชน์อะไร สะเพร่าเนาะ) เริ่มไม่เต็มใจนิดหน่อย ไม่ซื้อก็ถามว่าทำไม ของไม่ดีเหรอ โทรมาเจ๊าะแจ๊ะถ่อมาหาถึงบ้าน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  นาน ๆ มาที แต่มาหลายครั้งมันก็เริ่มรำคาญไง แต่ก็เข้าใจนะว่าอาชีพแบบนี้จะให้ทำยังไง คนขายเก่ง ๆ ขยัน ๆ ก็รวยไป ก็แล้วแต่เทคนิคแต่ละคน บางครั้งก็มาชวนให้ผมขาย ให้แนะนำต่ออีกตะหาก

 เรื่องมันเกิดตรงที่ว่าเพื่อนในกลุ่มผมที่ก็คุยกันมา ไปเที่ยวด้วยกัน ถึงไม่สนิทมาก แต่ก็ไม่น้อย มาเข้าสู่วงจรพวกนี้หนะสิ ก็ตามขั้นตอนเลยหละ มีคนมาชวนไปประชุม เข้ากลุ่มให้ลองไปฟังดู เพื่อนผมก็ไปไง เค้าก็ยังมาเล่าเลยว่าเนี่ยน่ากลัว พวกนี้จะเอาคนที่ขายได้ยอดสูง ๆ ประสบความสำเร็จมาพูด ๆ จูงใจ ใครโน้มน้าวง่ายหรือจิตอ่อนคงหลงไปบ้าง (เอ่อ นี่พูดออกแนวอคติ นิดหน่อยนะ อย่าว่ากันหละ) เพื่อนผมเค้าไม่ชอบจะหนีออกมา ก็ดูจะยากลำบาก กดดันทั้งด้านอารมณ์และคนรอบข้างราวกับว่าถ้ามึงหนีออกไปมีเรื่องแน่ ฮ่าๆ โอเค เรื่องนี้ก็ผ่านไป แต่ไหงไป ๆ มา หลังจากเวลาผ่านไปนาน ๆ ผมกับเพื่อนก็ห่าง ๆ กัน วันนึงเพื่อนคนนี้หละ โทรมาชวนไปประชุม ไปลองฟัง  

โทรมาหลายครั้ง จนผวาไปเลย อย่างไม่น่าเชื่อ บางครั้งก็ขายของว่าสนใจตัวนี้มั้ยไรงี้ พูดคุยนิดหน่อย แล้วเข้าประเด็นขายของเลย (ขายไม่เนียน ๆ เลย)  มากระทบกระเทียบตูอีกว่า ตกงาน หางานอยู่ ว่าง ๆ น่าจะลองไปฟังประชุมซะหน่อยนะ  คือถ้าเพื่อนกันเอง แล้วมาขายของเนี่ย ผมก็ไม่ได้อคตินะ แต่ว่าการพูดจา ไม่มีความกันเอง พูดแบบคนอื่น ๆ ที่มาขายของเราที่ต้องมีการเสแสร้งนิดหน่อยไรงี้ เออ ถ้ามาขายตรง ๆ ก็จะช่วยฟัง อาจสนใจได้ 

เหมือนเป็นคนละคนไปเลย อาจเป็นเพราะยังขายไม่เก่งมั้ง เลยไม่เนียนให้ผู้ซื้อตายใจ สรุปนิสัยเปลี่ยนไปเลย ไม่กล้าพูดคุยด้วยอีกเลย หนีเลย เลยถาม ๆ เพื่อนในกลุ่มคนอื่นว่าโดนแบบผมมั่งมั้ย สรุป โดนกันทุกคนถ้วนหน้า เลยหลีกห่างกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนของเพื่อนอีกที โห อะไรจะมีแรงบันดาลใจให้เพื่อนที่เคยพูดคุยกัน กลายเป็นคนอื่นได้ขนาดนี้นะ

มาคิดดูเอ ถ้าเราอยากทำมาหากิน ถ้าเราลองทำดูเป็นอาชีพ เสริม เราจะต้องทำแบบนี้มั้ย ก็คิดว่าคงไม่ แต่ไม่รู้จะขายใครออกมั้ย แต่ไม่รู้สิ อยากให้เพื่อนและคนขายอื่น ๆ บางคน ขายของได้เนียน ๆ สบายใจ น่าฟัง ไม่ใช่เหมือนถูกรุกราน จนไม่อยากเจอ  แต่ก็ตามหลักการ (ที่โมเมเอง) คิดว่า ถ้าเราทำแบบนี้กับคนยิ่งมากขึ้น หลายคน ก็ต้องมีหลงมาสักคนที่สนใจ เป้าหมายเค้าอาจเน้นปริมาณ เพื่อให้ได้มาซึ่งไม่กี่คน เพื่อต่อยอดออกไปเป็นลูกโซ่ก็เป็นได้

 ก็จริง ๆ อยากขายไร อยากทำไรก็ทำ แต่ถ้าเป็นเพื่อนตู มาขายของตูได้ แต่อย่ามากระแดะทำพูดจาเหมือนตูเป็นคนอื่น ๆ พูดจาไม่กันเอง วุ้ย อธิบายไม่ถูก เอาเป็นว่าเพื่อนตูอย่ามาขายของตูน่าจะดีที่สุดละกัน อิอิ

ตระเวนสัมภาษณ์งาน

 


ผมกำลังหางานใหม่อยู่ครับ ช่วงนี้ก็ตระเวนสัมภาษณ์ไปเรื่อย จะไม่เล่าถึงความช้ำใจที่ต้องตกงานหรอกนะ เพราะไม่ช้ำเลยโว้ย (ปลอบใจตัวเอง) ขอแนะนำเวปหน่อยละกัน ได้ไปสัมภาษณ์หลายที่ก็เพราะอันนี้ หลายคนคงรู้จักดี www.jobsdb.co.th พอดีไม่ได้ใช้เวปของอันอื่น เลยบอกแค่นี้ อันอื่นก็คงดีแหละ ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็มีพวกเอเยนต์หางานต่าง ๆ ก็สมัคร ๆ ไป ที่เหมือนกันตอนไป

สัมภาษณ์ก็คือ เอกสารต่าง ๆ ต้องเตรียมไป ไปยื่น ๆ คงไม่ต้องบอกนะ (ใครไม่รู้ก็ไม่ต้องได้งานและ) แล้วก็แต่งตัวก็ให้ดูดีเรียบร้อยหน่อย ความหล่อก็ไม่ต้องเตรียมไรมาก (มีมากล้นทะลักจะหมดอยู่แล้ว อิอิ) ที่จะเล่าคือสภาพที่ทำงานในออฟฟิส มีหลายแบบมาก ที่ไปมา ก็มีแบบหรู ดูดีมีสกุล อินเตอร์ คนดูฉลาด (หมายถึงความรู้สึกที่ไปนั่งรอนะ ) 

อยู่ในตึกสูง บางที่ก็เป็นตึกแถวแบบเจ็ดแปดชั้น ของตัวเองหรือเช่าก็ไม่รู้ บางที่ก็แค่ห้องเดียว เช่าเค้าเอา บางที่ก็เป็นเหมือนทาวเฮ้าส์  บ้านคน  ส่วนการที่ถ่อเสียสละเวลาอันมีค่าไปเนี่ย นอกจากไปเพื่อหวังได้งานแล้ว มันก็เป็นเลือกของเราแบบดูของจริงด้วย ไปดูว่าทำเลรอบข้าง สถานที่การทำงาน ผู้คน ระบบอะไรขั้นต้นที่มาเกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์เนี่ย ว่าเป็นยังไง ถึงเราเป็นผู้สัมภาษณ์ที่ง้อของาน (ไม่ใช่ขอทานนะ )ก็จริง แต่ก็เป็นผู้เลือกและมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะเอาเค้ารึเปล่าด้วย  มาเริ่มจากองค์ประกอบที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับตัวงานนะ 

จะพูดถึงแต่ในแง่ไม่ดีนะ อันแรกคือสถานที่ บางที่นะ ไปลำบาก เดินทางไกล หาของกินยาก (คิดมาถึงนี่เลย ฮ่า ๆ) บางที่เล็กไป สถานที่แคบ บางที่ดูไม่น่านั่งทำงาน สกปรก  บางที่ห้องสัมภาษณ์ก็ไม่มี ก็ชั่งใจเอาเองว่าจะเอามั้ย  ต่อมาระบบในบริษัท ดูคร่าว ๆ หนะ มันดวงด้วย บางที่ดูดีเน่าในก็เยอะ ก็ถ้านัดเวลาเราแล้ว คนสัมภาษณ์สาย ไม่อยู่ไม่ตรงเวลานานเกินไปกับที่นัดเราเนี่ย มันก็แสดงถึง.. นั่นหละขี้เกียจพูด บางทีใบสมัครดูไม่มาตรฐาน เอกสารไม่ดีกระจอกมันก็แสดงถึง..ขี้เกียจพูด  มาถึงคนมั่ง คนสัมภาษณ์เนี่ยวัดได้เหมือนกันนะ  การทำงานไหน มันก็ต้องมีหัวหน้าหรือซีเนียร์มาสัมภาษณ์ใช่มั้ย ก็พวกนี้หละที่เราต้องร่วมงาน ไม่ต้องไปนับ HR นะ ไม่ค่อยเกี่ยว  

 ก็ต้องดูวิสัยทัศน์ (พูดซะหรูเลย) และความคิดเค้าด้วย พูดให้เค้าแสดงความเห็นออกมา จะได้รู้ว่าลักษณะงานเป็นยังไงแนวไหน ในด้านอารมณ์นะ ตัวงานเนี่ยเค้าคงบอกอยู่แล้วหละ ให้ทำอะไร เค้าอยากได้คนแบบไหน อย่าพูดมากรู้มากเกินหละ รู้มากในใจพอ ไม่งั้นคนหมั่นไส้ได้  เอามีความรู้แบบมีกาลเทศะพอ แต่ถ้าตัวงานมันต้องมั่นใจ ก็แสดงไปเยอะ ๆ  การสัมภาษณ์มักจะปิดท้ายด้วยคำถาม “มีไรจะถามมั้ย ครับ/ค่ะ” ต้องรีบถามเลย แบบสุภาพ (แต่ใจอยากรู้อยากเห็นสุด ๆ ) เรื่องงานว่าฐานเงินเท่าไหร่ บางคนพูดเรื่องงานซะสวยหรูเลย แต่ให้เงินหมื่นนึง มันไม่ไหวนะ มีไรสงสัยจงถามแต่พองาม อย่าตะกละ เช่น “คนทำงานแผนกนี้มีกี่คน” “บริษัทมีกี่คน” “รับเพิ่มขยายงาน หรือรับแทนที่คนอื่น” “เงินเดือนเท่านี้ได้มั้ย” “จะเรียกหรือรู้ผลเมื่อไหร่” 

ถามที่ใจต้องการแบบสุภาพ ๆ นะ ดูสถานการณ์ บางอันถามมันน่าเกลียดสำหรับบางคนหรือบางสถานการณ์ต้องถามก็ถาม บางทีเราร้อนใจอยากรู้ผลเร็ว ๆ ก็พูดตรง ๆไป แต่ถ้ารู้ว่าเค้าคงไม่รับเราแน่ ไม่มีลุ้น หรือเราไปแล้วไม่ถูกใจ แต่ไหน ๆ ไปแล้ว  จงอย่าพูดมากตอบตามสมควร ไม่ต้องไปถามไรเพิ่มเติม บางทีอยากเตะคนไหน เหม็นขี้หน้าคนไหน ก็จงเก็บอาการ และมั่นใจเข้าไว้หละดีเอง บางทีเค้าก็อยากดูอารมณ์เราไปงั้น ๆ   คนสัมภาษณ์บางคนไม่ได้ฉลาดอะไร ถามแบบตามเสตป แค่นั้น ดูเฉื่อย จงคิดในแง่ดีไว้ ...เค้าโง่ ๆ ๆ ...เราต้องแสดงความมั่นใจ หลอกล่อเค้าซะ อย่าไปคิดในแง่ร้ายว่า.. เค้าไม่สนใจตู เค้าไม่สนใจตู ...เลยถามไปงั้น ๆ เพราะเราไม่อาจรู้ได้ ต้องมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน

เอ้อ ที่บอก ๆ มา แค่องค์ประกอบเล็กน้อยมาก ๆ ที่อยากให้คำนึงบ้างไปงั้น ๆ ประกอบการตัดสินใจจะเข้าทำงาน  ทุกอย่างแล้วแต่เราพอใจ บางที่อาจไม่ดีพร้อม ภาพพจน์ไม่ดี แต่อยากทำ น่าทำ รู้สึกดี ก็ทำไป ที่เล็กเงินมาก ที่ใหญ่ ๆ เงินน้อยแต่มีชื่อเสียง เลือกเอาเหอะ บุคลิกเราก็ไม่ต้องไปปรับไรมาก งานไหน งานนั้น แล้วแต่คนรับ แล้วแต่งาน (แค่ทำตัวให้เหมือนคน ก็พอ อิอิ ทำยากอยู่นะ) 

บางคนเตรียมตัวตอบมาแบบเปะ ๆ ๆ เป็นขั้นตอน แต่ไม่ธรรมชาติ ก็ยังดูไม่ดีเท่าตอบแบบซื่อ ๆ นะ เค้ายังอาจเอ็นดูได้มากกว่าอีก  เรื่องการสัมภาษณ์มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว บุคคลแบบนึง ก็อาจเหมาะกับงานแบบนึง แล้วยังต้องแล้วแต่คนสัมภาษณ์เราว่าพอใจเรามั้ย ถูกชะตาเรามั้ย แล้วตัวเรามีไรดีมากพอตรงความต้องการมั้ย หรือเค้าเปิดโอกาสให้เราเข้าไปทั้งที่เราไม่มีประสบการณ์ด้านนั้น ๆ หรือมีคู่แข่งเยอะมั้ย ไม่ใช่ที่ดีเลิศจะเหมาะกับเรา ที่ห่วยในสายตาคนอื่นแต่เราพอใจก็คือดีที่สุด ส่วนถ้าเค้ารับเข้าไปทำงานแล้ว ก็ตัวใครตัวมันละกัน จบ

Friday 19 January 2007

ติดเนต


นั่งเล่นเนตบ่อยมาก  ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ช่วงนี้ คิดแล้วมันอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ขาดไม่ได้ จะลงแดง (ในบางเวลา) แล้วทำอะไรหนะเหรอ ก็ดูรูปโป๊โหลดหนังโป๊ อันนี้แต่ก่อนชอบทำสมัยวัยหื่น ๆ เดี๋ยวนี้ก็ยังโหลดบ้าง แต่เฉย ๆ มากกว่า คงดูมาเยอะแล้วมั้ง (แต่ยังไม่ตายด้านนะเออ) หลัก ๆ คือเช็คเมลล์ คุย msn อ่านกระทู้ อ่านเวปไปเรื่อย ๆ เล่นเกมออนไลน์ เล่นทีก็ใช้เวลามาก ๆ ๆ เลย   

เหตุผลที่เล่นก็ไม่มีไรทำ แก้เหงา ฆ่าเวลา จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ตอนแรกก็คิดเหตุผลว่าที่เราเล่นเนี่ย เพราะไม่มีไรทำไง ก็เล่นเนตซะเลย แต่ที่ไหนได้ ไป ๆ มา ๆ ถึงจะมีอะไรทำ ถึงจะยุ่ง ถึงออกไปข้างนอก ก็อดไม่ได้กลับมาเล่นซักนิดหน่อยก็ยังดี ให้ชุ่มชื่นหัวใจ (อันนี้พูดให้ดูเวอร์ ๆ) บางทีมาเปิดไว้ แล้วก็ไปดูทีวีทำอย่างอื่น แต่ก็มาเปิดให้เสียค่าไฟเล่น ๆ  เลยมานั่งคิดว่าเหตุผลจริง ๆ คืออะไรเหรอ 

ก็ได้คำตอบที่(ตัวเราเอง) ไม่อยากฟังออกมา คือ เพราะไม่มีแฟน เพราะไม่มีแฟน เพราะไม่มีแฟน  ที่ย้ำเพราะมันมีส่วน เพราะสมัยที่ยังรุ่งเรือง(สมัยมีแฟนนั่นหละ) ก็ไม่ค่อยมาเล่นเนตไรมาก แทบไม่เล่นเลย ไม่มีอารมณ์ แต่ก็สงสัยเหมือนกันทำไม(อดีต)แฟนถึงติดเนตจัง เคยถามเค้าก็บอกมาว่า 

เค้าคุยเอ็มกับเพื่อน แล้วเค้าก็มีเวปประจำในเรื่องที่สนใจ ที่เค้าชอบไปอ่าน เพราะมันมีเวปบอร์ดไง ก็เข้าใจนะ แต่ตอนนั้นตัวเราเองกลับไม่ติดมากมายนะ แต่ตอนนี้สิ เฮ้อ.......อีกเหตุผลคือ เหงา (โอ้ย เหตุผลนี้ก็น่าอาย ไปบอกเพื่อนว่าเหงานะ มันคงหาว่าเปลี่ยวมากกว่า ฮ่าๆ ) บางทีคนเราก็ต้องมีโลกส่วนตัว ซึ่งหนทางที่จะบรรลุโลกส่วนตัวได้ในบางเวลา ก็คือ การเล่นเนตไง (ถ้าอ่านแล้วเข้าใจ  ก็คือบรรลุแล้วนะ ^ ^)  ส่วนพวกเช็คเมลอะไรปกติ หรืออ่านข่าว อ่านเรื่อง อ่านกระทู้อะไรทั่วไป มันไม่ใช่เหตุผลเท่าไหร่ที่มาเล่นโดยใช้เวลานานแบบที่ทำอยู่ขนาดนี้ เพราะพวกนี้ก็เหมือนกับเราอ่านนสพ. ดูข่าวอะไร เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างนึงทั่วไปแค่นั้น 

เล่นเนต ก็ต้องมีโฮกาสได้คุยกันทางเนต การได้คุยกับคนในเนตนี่เป็นเรื่องดีนะ ถ้าคนไหนคือเพื่อน ๆ เราที่เจอหน้ากันอยู่แล้ว บางทีคุยกันทางเอ็ม ทางเมล มันก็ทำให้ไม่ขาดการติดต่อ แล้วก็ไม่รบกวนกันด้วย ถ้าไม่อยากคุยก็ไม่ต้องตอบ ไม่เหมือนการพูดคุยจริง ๆ แล้วก็บางเรื่องที่มองหน้าแล้วพูดไม่ออก นึกไม่ออก กลับพูดได้ (เอ ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบผมมั้ยเนี่ย) ส่วนคนที่เราไม่รู้จักแล้วคุยกันเนี่ย ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์หาเพื่อนหาแฟน คุยเล่น ๆ ไรก็ตาม บางทีมันแก้เหงา มันได้ระบาย บางทีมันก็สนุกดีเพลิน ๆ บางทีก็ได้เป็นเพื่อนกันจริง บางทีก็มีการช่วยเหลือที่เราคาดไม่ถึง ว่าคนแปลกหน้าจะช่วยเราได้ เช่น ถามเรื่องอะไร ก็ช่วยตอบ ช่วยหาข้อมูลอย่างจริงจัง เป็นต้น 

จริง ๆ เล่นเนตนาน ๆ เนี่ยก็มีข้อเสียต่อร่างกายเหมือนกันนะเนี่ย คือ ไม่ได้ขยับตัวมาก สายตาเสีย แต่คิดว่าข้อเสียด้านจิตใจไม่น่ามีไรมาก ถ้าไม่หมกหมุ่นมาก และเป็นคนโรคจิตอยู่แล้ว ก็คงมีความสุขดีหละ

เคยมั้ยเวลาอ่านกระทู้ต่าง ๆใ นเวปบอร์ด หรือคุยกับคนแปลกหน้าทางเนต ถ้ามีอะไรที่เราไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ตรงกับเรา เราก็มักจะคิดว่า เฮ้อ ก็แค่คนในเนต คนในเนตก็งี้หละ พูดในทำนองแย่ ๆ  อันนี้หมั่นไส้ส่วนตัว ขอด่าหน่อยเหอะ พวกที่มานั่งบ่นว่าคนอื่นแบบนี้ ลืมดูตัวเองว่า แล้วแกไม่ได้เป็นมนุษย์คนนึงที่เล่นเนตอยู่เหรอ ไม่ใช่เทวดามาจากไหนเหมือนกัน ทุกสังคมก็มีดีเลวปะปนกันไปนั่นหละ เหมือนกับคุณที่โลกแคบอยู่ไง (ผมว่าคนอื่นนะ ไม่ได้ด่าตัวเอง ไม่ต้องอ่านแล้วสะใจว่าเข้าตัวผม ฮ่า ๆ)

 แต่เดี๋ยวนี้อะไรมันก็ต้องใช้อินเตอร์เนตหละนะ มันขาดไม่ได้อยู่แล้ว แต่ขาดไปคงไม่ตาย แต่อย่าขาดเป็นดี แค่อย่าเล่นให้มันมากมายแล้วกันเนอะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเยอะ ๆ มั่ง เพราะทำอะไรอย่างเดียวมันก็คือความหมกหมุ่น ไม่ว่าจะด้านไหน เรื่องไหนก็ตาม ไม่ใช่แค่เนตหรอกเนอะ สู้ ๆ

Wednesday 17 January 2007

เกย์โรคจิตตามที่สาธารณะ


คุณเคยได้ยินมั้ย พวกชอบโชว์ พวกบ้ากามทั้งหลายตามข่าวต่าง ๆ ในฐานะที่ผมโรคจิตนิดหน่อย ก็ย่อมต้องเจอพวกเดียวกันเป็นธรรมดา 

สมัยก่อนตอนผมม.ปลาย นั่งรถเมล์ไปเรียน ก็ไม่ได้คิดไร  คนบนรถก็แน่นตามปกติ ตอนเช้า ๆ ก็ยืน ๆ บนรถ พอถึงทางแยกรถเมล์เลี้ยวปุ๊ป มีมือของผู้ชายข้างหน้ามาแปะตรงเป้าผม แวบเดียวนะ แต่มันก็ทำให้เราสะดุ้งเลยหละ ก็เอาวะ มันบังเอิญ เค้าก็ไม่หันหน้ามานิ คงจะไม่ตั้งใจ สักพักพอรถเอียงหน่อย ก็เอามาโดนเป้าเราอีกและ 

เราก็คิด เออมันตั้งใจแน่ ก็กลัวนะ (ตอนนั้นยังใสซื่ออยู่) ผมก็เลยพยายามเบียด ๆ คนหนีไปยืนข้างในไกล ๆ ไอ้คนนี้ แต่ก็ยังแอบมองคนนี้อยู่ (เค้าหันหลังนะ) เพราะส่งสัยไง ว่าเรานึกไปเองมั้ย สักพักพอมีผู้ชายคนอื่นขึ้นมา เค้าก็ทำอีก (ที่เห็นเพราะผมสังเกตดูอยู่ตลอดเลย) แต่ก็แปลกที่ไม่มีใครโวยวาย ก็เห็นกับตาว่าเค้าได้แตะเป้าผู้ชายไปสามคน หลายทีด้วย (รวมผมด้วย) ทุกคนก็ยินยอมกะคนอ้วนบ้ากามคนนี้ แล้วก็หลบ ๆ ไปเพราะเค้าทำแบบว่าบังเอิญ 

แต่มันก็ตั้งใจ ถ้าโดนเองแล้วรู้ ยังคิดอยู่เลยว่า ถ้ามีคนโรคจิตชอบเนี่ย คงจะถูไถกันต่อแน่เลย -*-  อีกแบบคือเวลานั่งรถเมล์ แล้วคนข้าง ๆ เอาแขนมาถูไถขยับไปมา ปกติเรานั่งก็วางแขนไว้ข้างตัวใช่มะ เค้าก็เอามาเสียดสีเราแบบเนียน ๆ แต่เราก็รู้สึกได้ (ป่าวคิดไปเองนะ) ก็ไม่รู้จะทำไง แต่อันนี้ไม่รุนแรง  แต่มันก็ขยะแขยงนะ ใครก็ไม่รู้   บนรถเมล์อีกแบบ คือเวลายืน ๆ คนแน่น มีคนนึงเอาเป้ามาแนบก้น อาศัยว่าเนียน ถ้าคนปกติก็ควรจะเอามือมาปิดเป้าตัวเอง ไม่ใช่เอามาถูบั้นท้ายคนอื่น กรณีถ้ารถแน่นจริง ๆ ว่ามั้ย หมดและเรื่องบนรถเมล์

 อีกที่คือในห้องน้ำชายตามห้าง อันนี้โรคจิตที่ผมว่าน่ากลัวอยู่นะ เพราะผมเจอบ่อย ๆ ๆ ห้างใหญ่ด้วย ไม่ใช่เปลี่ยว คือ เวลาเรายื่นฉี่ใช่มั้ย เราก็ไม่ได้ระวังอะไร ก็ยืนฉี่ไป ผู้ชายด้วยกัน แต่มันมีคนข้าง ๆ มาชักว่าว คือชักแบบถี่เลยข้าง ๆ ผมก็ฉี่ไม่ออกสิ จะยืนนานก็ไม่ได้เดี๋ยวหาว่าอยากดู (ผมเอาหางตามองนะ ไม่กล้ามองหน้า) แล้วก็พยายามมาหันมองหน้าเราให้เรามองตอบ คงอยากให้ไปทำไรกันในห้องน้ำมั้ง บางครั้งผมปวดฉี่มากก็พุ่งไปยืนฉี่เลย

ไม่ทันระวัง ก็เจอแบบเดิม คือมายืนโด่โชว์ มาอ่อย น่ารังเกียจที่สุด (ถ้าหน้าตาดีมาก ๆ ก็ว่าไปอย่าง นี่หน้าตาพอกับพฤติกรรมเลย) ผมว่าหลายคนน่าจะเคยเจอนะ เพราะพอผมเจอบ่อย ๆ ผมก็ชิน (ไม่ได้ชอบนะ เหอ ๆ) เลยเริ่มสังเกต และมักพบได้โดยง่าย พวกนี้จะยืนแถวโถฉี่ แต่ยังไม่ฉี่นะ 

พอมีชายหนุ่มเข้ามาฉี่ที่โถ เท่านั้นและ ก็รี่ไปปลดซิบยืนข้าง ๆ ซึ่งนอกจากจะโชว์ แล้วยังมามองของเราด้วยไง แล้วใครจะฉี่ออก (มีของดีแต่ไม่อยากจะโชว์นะโว้ย) วิธีแก้ไขคือ เข้าห้องน้ำปิดประตูฉี่เลย (หวังว่าคงไม่มีรูนะ ฮ่า ๆ ) หรือไม่ก็ฉี่ในโถ ที่ข้าง ๆมันว่าง ๆ ไม่มีคนมายืนรอบข้าง พวกโรคจิตมักจะไม่มาฉี่ในที่โล่ง ๆ ไง เพราะจะดูโจ่งแจ้ง เค้ามักจะมาเวลาคนเยอะ ๆ ไม่ทันคิดอะไร 

อ้อแล้วอย่าไปฉี่ริมขวาสุดหละ จะโดนประกบด้านซ้ายซวยเลย เพราะพวกนี้จะยิ่งกล้ามองของเราเต็ม ๆ เพราะคนอื่นไม่เห็นไง ยังไงก็ระวัง ๆ ไว้นะ แต่ไม่ต้องคิดมากหรอก พวกนี้มักจะขี้ขลาด มีไรเราก็ทำหน้าเหี้ยม ๆ เตรียมชกคนไว้ เวลาเจอรับรองไม่มีใครกล้ามายุ่ง แต่ก็ระวังไว้นะ บางคนทั้งโรคจิต ทั้งมิจฉาชีพ เป็นโจรยังงี้ ก็ตัวใครตัวมัน จบ..

Thursday 11 January 2007

เมื่อคนรู้จัก..... ยืมตังค์


หลายคนคงมีประสบการณ์เรื่องเงิน ๆ ทอง ที่เกี่ยวข้องกันกับคนอื่น บางทีเราไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่คนอื่นก็มายุ่งกับเราซะงั้น  แล้วก็แปลกดี คนที่เรายินดี เต็มใจจะให้ยืมเงิน เค้าก็กลับไม่อยากยืมเรา ส่วนคนที่เรารู้จักงั้น ๆ ไม่อยากให้ ไม่สนิท กลับมาขอยืมเงินเรา แถมพอจะยืมเล่นตื๊อจนเราอายเหมือนว่าเราเองทำความผิดมา ถ้าใจอ่อนให้ไปเนี่ย ก็จะเกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เมื่อไหร่จะได้คืนว้า เอ... เค้าลืมมั้ยนะ ลำบากใจจริงเลย จะไปทวงเงินคืน (นี่เงินของตัวเองนะนี่) อารมณ์เหมือนเราติดหนี้เค้าซะเอง

ผมโชคดีมาก ๆ ที่มีเพื่อนที่ดีมาก ๆๆ และเป็นคนที่ผมสามารถยืมเงินได้อย่างสบายใจ เพราะมั่นใจว่าเค้าจะไม่ดูถูกเรา เพราะเพื่อนผมก็รู้นิสัยว่าผมจะไม่ยืมใครโดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน และผมคืนแน่นอน ขณะเดียวกันเพื่อนผมนี่ก็ออกจะประสาทนิดหน่อย (ดีเกิน) คือ ไม่อยากติดเงินผม บางทีกินข้าวกัน หรือทำไรต้องจ่ายไรไป ผมก็ปัด ๆ  เศษเงินจะได้คิดง่าย (ยิ่งฉลาดน้อย ๆ อยู่)  มันก็ไม่ยอม ๆ ๆ แถมอยากจะเลี้ยงแทน ต่างคนต่างไม่ยอม (ประหนึ่งเทวดามาจุติ เป็นคนดีประเสริฐทั้งคู่ ฮ่าๆ )  เวลามันชวนไปไหนที่ผมไปเป็นเพื่อน แต่เป็นธุระของมัน ค่ารถค่ากินมันก็ไม่ยอม ๆ จะพยายามออกให้ ผมก็ให้ไปตามสมควร แต่ก่อนก็เถียงมาก เกรงใจไง แต่เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจอารมณ์เพื่อนนะ (อยากเลี้ยงตูเองนิ เชิญ อิอิ)

ไอ้ผมหละเป็นคนใจอ่อน เมื่อก่อน ใครยืมเงินก็มักจะให้ด้วยความเกรงใจ (โง่ นั่นหละ)  แต่มานึก ๆ ดูแล้ว รู้สึกแย่ (บางที ก็แค้นนะเนี่ย) เพราะคนบางคนที่มายืมผมเนี่ย ไม่ได้สนิทสนมอะไรมากเล้ย บุญคุณไรก็ไม่มี แต่การพูดจา การขอ การตื๊อ มักจะทำให้เราลำบากใจ บางทีสงสารก็แล้วไป บางทีไม่สงสาร แต่ให้ไปเพราะเหมือนเราติดหนี้แล้วต้องใช้เค้าอะ เกรงใจจริง ๆ เฮ้อ

บางทีเข้าใจมะ อารมณ์เราอยากได้เงินคืนมา บ่นกับเพื่อนก็แล้ว ก็ได้ความเห็นที่น่าช้ำใจกลับมาว่า “โง่เองนิ ให้ยืมเอง”หรือ “ปกติ คนนี้เค้าไม่เคยโกงใครนะ ยืมเราก็คืนทุกที”  ไอ้เราก็เซ็งสิ เอาก็เอาวะ จะทวงเลย ก็จำได้นิว่าตอนนั้นบอกจะคืนวันนั้นวันนี้ เดือดร้อนงั้นงี้ (แต่ทำไมตูเห็นมรึงใช้เงินฟุ่มเฟือยในด้านอื่นกว่าตูอีกนะเฟ้ย)  

โอ้โห พอไปทวง ถามแบบอ้อม ๆ นะ ทำพูดปัด ๆ เหมือนเราไปยุ่งเรื่องเค้างั้นแหละ บางคนก็คืนมาแบบว่าไม่เต็มจำนวน ให้ไปงั้นปัดรำคาญเรา แล้วก็หายไปเลย ความจำเสื่อมซะงั้น แล้วทำไมตูจำฝังใจเองวะเนี่ย ก็พยายามคิดปลอบใจตัวเอง เอาน่าทำบุญให้คนยากจนด้อยโอกาส (แหม แต่มองหน้ามันแล้วมันสมบูรณ์มีความสุขจิงนะ)  

วิธีแก้ก็ง่าย ๆ  คือ ไม่ให้ ๆ ๆ ไม่สน ไม่แคร์ ไม่ฟัง ไม่รับรู้เลย (เหมือนจะเป็นคนเลว แต่เค้ากล้ายืม เราก็ต้องกล้าใจแข็ง) เออ แต่บางคนเค้าเดือดร้อนจริง ๆ นะ ก็ลองคิดดูเอาและกัน ถ้าให้สบายใจ ก็จงทำ จริง ๆ ผมก็เผลอโง่ให้ยืมผิดคนแค่ในอดีตแค่นั้นแหละ แต่พอแก่แล้ว มีสติขึ้นมาหน่อย ก็ค้นพบวิธีแก้ง่ายที่สุดเลย ก็คือ ให้ยืมไปเหอะ ถ้าเรามีให้ ในจำนวนที่เราคิดว่า จะทิ้งไปเลย หรือก็คือถือซะว่ายกให้เปล่า ๆ คนที่ยืมเงินไม่ว่าเค้าจะดีหรือเลว  เค้าคงมีเหตุผลไรของเค้า ที่บางทีเราอาจจะฟังแล้วไม่ขึ้นเอาซะเลย แต่ถ้าเราถือซะว่าทำบุญเนี่ย ก็จะสบายใจ ไม่มีกังวลแน่นอน ขึ้นอยู่กับใจเรานั่นหละ

อ้อ อย่าลืม คือ ให้เค้าเปล่า ๆ แล้ว ก็จำในหัวด้วยว่าคนนี้หนะ มันยืมไม่คืน จะได้ไม่ให้อีก ทำบุญก็จริง แต่ให้ทำครั้งเดียวก็พอนะ (ป่าว แค้นนะ แค่จำไว้)

 เรื่องเงินทองอย่าเห็นว่าไม่สำคัญนะ เป็นของนอกกาย แต่กลับเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และบางครั้งสามารถวัดนิสัยและตัดสินคนบางประเภทได้เลยหละ ^_^

Friday 22 December 2006

อยากมีแฟนจิง ว้อย


 เฮ้อ....หน้าเทศกาลมาอีกและ พวกคริสมาสต์  ปีใหม่ วาเลนไทน์เนี่ย ช่างรบกวนจิตใจของคนกำลังโสดและแก่ขึ้นทุกที ๆ อาการเหงากระตุกมาเป็นวูบ ๆ  รู้สึกว่างเปล่า เศร้าสร้อย โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก (ฮ่า ๆ บิ้วอารมณ์สุด ๆ) 

รู้สึกอยากมีแฟนขึ้นมาแบบตัวเป็น ๆ ที่จับต้อง ลูบคลำได้กับเค้ามั่ง บรรยากาศรอบข้างก็ช่างเป็นใจ ลมหนาวก็เริ่มมา (สงสัยปีนี้มีหนาวสองวันใน กทม) เพื่อน ๆ ก็กลับบ้านต่างจังหวัด ไปเที่ยวกับครอบครัว  บ้างก็ไปกับแฟน (พวกนี้น่าหมั่นไส้สุด ๆ)  หรือไม่ก็ไปรวมกลุ่มคนโสดไปฉลองกันเองซะเลย  แต่สุดท้ายยังไง ๆ ทำไมตูก็ยังอยากมีแฟนอยู่ดี คนเราก็แปลกดี อยู่ดี ๆ ไม่ชอบ แล้วทำไมถึงต้องโสดด้วยว้า  จริง ๆ ลองมานั่งนึกเหตุผลมันก็ไม่กี่อย่างหรอก ไม่เชื่อลองอ่านดู เพราะคงมีเหตุผลตรง ๆ กับใครหลายคน

- ข้อแรกเลยติดเพื่อน    อันนี้ก็เรื่องปกติมั้ง บางอารมณ์ บางเวลามันก็ยังไม่อยากมีแฟน บางครั้งต้องการเพื่อนมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเวลามีแฟนที จะให้เวลากับเพื่อน ไปไหนมาไหนแบบเดิมเหมือนตอนโสดก็คงไม่ได้  บางคนก็ขี้หึงเหลือเกิน จะขยับตัวไปไหนก็ยาก ขนาดไม่แอบไปคบใครนะเนี่ย แค่ใช้เวลากับเพื่อนมากไป ก็บ่นอีก จะอะไรกันนักหนา ถ้าอยากได้ทั้งเพื่อนทั้งแฟนในช่วงเวลาเดียวกัน ก็คงต้องแบ่งเวลาอย่างดีเลยมั้งเนี่ย หรือถ้ามันยากนักก็ไม่ต้องมีมันซะเลย สงสัยเหตุผลนี้แหละถึงได้โสดมาจน ณ บัดนี้  

-เลือกไม่ได้  เลือกมาก เรื่องมาก  บางครั้งก็(บังเอิญ) มีหลายคนมาให้เลือก ไม่อย่างปักหลักกับใคร กลัวเบื่อเอง หรือคิดว่าตัวเรามีพร้อม ดีกว่า ก็ต้องคัดเลือกต่อไป (เหมือนเลือกผลไม้) ฟังแล้วเหมือนจะดูดี แต่มันน่าสงสารตัวเองเป็นพวกหลงตัวเอง อันนี้หลายคนต้องระวัง บางทีเราอาจคิดว่าเราดีพอ แต่จริง ๆ เราก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย จะกลายเป็นน่าสมเพชในสายตาคนอื่นซะเปล่า ๆ ทำให้หมดเสน่ห์ไปซะด้วย

บางคนก็ไม่มีใครเลือก  ไม่มีใครเอา ฟังดูโหดร้าย แต่เป็นความจริงสำหรับหลาย ๆ คน แถมยังแบ่งออกมาได้หลายกรณีเลย เช่น

        -  หน้าตาไม่ดี อัปลักษณ์ รูปชั่วตัวดำ ใช้สายตามองแล้วรู้สึกแย่ เสียสายตา (คนไหนมีธรรมะหลักธรรมประจำใจ คงจะมองข้ามภายนอกพวกนี้ไปได้) แต่สำหรับหลาย ๆ ๆ คนที่ยังกิเลสหน้าตราช้าง ก็อดจะนึกถึงตรงจุดนี้เป็นอันดับแรกไม่ได้  ลองคิดเอาเองละกันถ้าคุณหน้าเหมือนลิง เหมือนฮิบโป ขนจมูกแลบ ตัวเป็นขี้กลาก รังแค ขี้ตากรัง ฯลฯ บางทีมันก็ไม่ไวหนะ รับไม่ได้

       - บุคลิกแย่  ทำตัวแย่ สกปรก สกมก เช่น เรอ ตด เดินหนีบ  หลังค่อม แคะขี้มูก แคะขี้ฟันอ่อนแอ หงอ  เกาก้น งก ไม่มีมารยาท ไม่มีกาลเทศะ หลายอย่างเลยแฮะ มีคนใกล้ตัวใครเข้าพวกนี้มั่งมะ ฝากเตือนด้วย  บางทีอดไม่ได้ก็เตือนไป เพราะอยากให้ดูดีขึ้น แต่เรื่องแบบนี้บางทีมันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะพูดได้ เตือนไปเผลอ ๆ โดนด่า น้อยอกน้อยใจอีกเนอะ

       - หลงตัวเอง  อย่างที่พูดไปบางคนมีดีจริง ยังดูน่าหมั่นไส้เลย แล้วคิดเอาคนที่ไม่มีอะไรให้หลง แล้วยังหลงตัวเอง ซึ่งคนจำพวกนี้ยากที่จะแก้ไข เช่น คิดว่าข้าเก่ง ข้าหน้าตาดี พูดแต่เรื่องของตัวเอง มองคนอื่นต่ำ รู้มาก ฉลาดไปหมดทุกเรื่อง เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล เป็นต้น พวกนี้มักจะแย่กว่าที่ตัวเองคิดเสมอ และน่าสงสารกว่าคนที่เกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ (เพราะเค้าเลือกเกิดไม่ได้) ส่วนคนพวกนี้เลือกได้ แต่เลือกที่จะหลงตัวเองไง แต่บางทีถ้ามองโลกในแง่ดีจริง ๆ เค้าอาจไม่รู้ตัวเองว่าทำให้คนอื่นหมั่นไส้ ไม่ชอบก็เป็นได้

         - มาทางด้านนิสัยบ้าง พวกนิสัยเลว น่ารำคาญ คิดมาก ตีโพยตีพาย ขี้หึง หรือนิสัยดีเกินไป ถ้าเป็นงี้ตั้งแต่รู้จักก็ไม่อยากคบแล้ว แต่มักจะซวย เพราะเล่นมาออกลายตอนคบกันไปสักพักนี่สิ เฮ้อ เซ็ง....   นิสัยเลวคงไม่ต้องบรรยาย อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก  (บางคนเป็นสันดานไปเลย ถ้ารับได้ก็ดีไป บางคนก็เกิดมาเพื่อชอบคนเลว ๆ หมาเน่าโลงผุสมกันดี) แต่ดีเกินไปนี่ดิ บางคนเค้าก็ไม่อยากมีแฟนเป็นพระนะ (ไม่นับพระปลอมซื้อซีดีโป๊นะ) เช่น เกรงใจทุกอย่าง เอาใจไปหมด อบายมุขไม่เอาเลย รับไม่ได้ ใสซื่อ บางทีมันอาจดูกระแดะมากไปก็ได้

 ถ้าจะว่าไปแล้วการมีแฟนมันไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้าเรามองข้ามสิ่งหลาย ๆ อย่างออกไป เพราะคนเราคงไม่มีใครเกิดมาเพอร์เฟคหรือหาคนได้ถูกใจเต็มร้อยแน่นอน แล้วทำไงถึงจะมีแฟนคบกันระยะยาวได้เนี่ยยยยยยย อยากมีชีวิตที่มีความมั่นคง (ในด้านแฟน) กับเค้ามั่ง ฮ่าๆ

หลายคนเลยวัยกลางคน (เข้าสู่วัยชราระยะแรก) จนปูนนี้ก็ยังโสดอยู่ จนที่บ้านถามแล้วถามอีก  ทำไมไม่แต่งงาน (กับผู้หญิง) ซะที  ที่ไหนได้ กรูอยากจะตอบว่านอกจากไม่ชอบผู้หญิงแล้ว แฟนผู้ชายก็ยังหาไม่ได้เลยเนี่ย ฮ่า ๆ) 

หลายคนไม่ใช่ไม่เคยมีแฟนมาก่อน บางคนผ่านมือชายมาหลายคนแล้ว ประสบการณ์บางทีก็ไม่ช่วยอะไรเล้ยยยย ทำไมจนปูนนี้ถึงยังโสดอยู่หนะเหรอ พิจารณาตัวเองอย่างแรกก่อนเลย อย่างแรกเลยคือเกิดมามีกรรม -*- ที่บอกงี้ ไม่ได้หมายถึงพวกโชคชะตา พรหมลิขิตเกิดมาเป็นโสดจนตายนะ แต่หมายถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรม เป็นอะไรที่แก้ไขไม่ได้จริง ๆ เช่น ถ้าหน้าตาอัปลักษณ์ ขี้เหร่นะ ก็ทำใจไปเลยว่าเป็นสิ่งภายนอก ยึดหลักธรรมไปเลย คือ ยากที่จะหาใครมาสนใจในทันที แต่ถ้านิสัยดีก็ขออวยพรให้เจอคนที่ใช่สักวันละกัน ยังไงความดีก็ชนะทุกสิ่งจริง ๆ ด้วย พวกเลว ๆ มันก็ไปชอบคนเลว ๆ ด้วยกันให้หมด สาธุ(ส่วนพวกดี ๆ อย่างเราก็โสดกันต่อไป )  

บางทีปัญหามันเกิดจากบางคนที่ยังมีความคาดหวังสูงว่าแฟนเราจะต้องเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ขณะที่ลืมดูตัวเองไปว่าตัวเรามีดีแค่ไหน เคยให้อะไร ทำอะไรกับใคร ถึงได้หวังความรักหรือความรู้สึกดี ๆ กลับมา บางทีถึงแม้รักจะไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่เราก็ควรจะเริ่มต้นที่จะให้ความรักกับคนอื่นก่อนบ้าง แต่ถ้านอนฝันหวานว่าจะมีเจ้าชายลอยมาเกยตื้น ถ้าคิดงี้ก็จงเป็นโสดต่อไป

  ข้อเสียอีกอย่างคือ คนบางคนไม่ได้ต้องการคบใครจริงจัง ตั้งแต่แรก บางคนก็คบไปเรื่อย ควงทีหลายคน สนุกไปวัน ๆ ถ้าไปเจอคนแบบนี้เข้า ก็ต้องทำใจว่า ถ้าเราฉลาดไม่พอ หรือถึงจะฉลาดแค่ไหน ก็ยังสามารถโดนหลอกได้วันยังค่ำ

พวกโลเล รักเผื่อเลือกก็อีกแบบนึง คือคบไป แต่ไม่รู้จักพอ ถ้าเจอใครดีกว่าก็ไป เปลี่ยนใจได้โดยง่าย แบบนี้จะว่าเป็นความผิดก็ไม่ใช่ เพราะก็คบทีละคน (มันเรื่องของตูนิ)  ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องไปเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าลองนึกถึงใจของอีกฝ่ายบ้าง  ก็คงจะรู้ว่ามันเป็นการทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายน่าดูเหมือนกัน ถ้าเราไปเจอกับใครแบบนี้ซะเอง

 จริง ๆ ไม่ผิดที่จะเลือกหรอก เพราะถ้าไม่มีอย่างที่ต้องการ ก็ไม่มีซะดีกว่า ความคาดหวังของคนเรามันต่างกัน พูดไปพูดมา ดู ๆ แล้วเนี่ยเรานี่มันก็แย่จริง ๆ ว้อย พยายามค้นหาอะไรจากด้านภายนอก แทนที่จะพยายามมองเข้าไปถึงจิตใจมากกว่า  แต่ว่าสังคมเกย์ อะไร ๆ มันก็คงยาก บางทีจะไปหาใครจากไหนได้มากมาย ไม่ใช่ว่าเห็นผู้ชายดี ๆ จะตีหัวเอามาเป็นแฟนได้ (เผลอ ๆ มันชกเอา) 

เพราะงั้นกว่าจะผ่านตรงจุดเริ่มต้นภายนอกมาเพื่อมาคบหากันเพื่อศึกษากันทางจิตใจ ก็คงต้องใช้ระยะเวลา และต้องพยายามปรับตัวเข้าหากัน และรู้จักเปิดใจ เปิดโอกาส และยอมรับข้อดีข้อเสียของคนอื่น และที่สำคัญต้องรู้จักตัวเรา และก็รู้จักคำว่า ‘เพียงพอ’ ด้วย

พูดไปพูดมาจะเข้าสู่หลักธรรมซะแล้ว  ก่อนที่จะบรรลุไปซะก่อน  ก็ขออวยพรให้คนที่ยังโสดมีแฟนกันไว ๆ  (แฟนจะดีจะเลวก็จงมีคนที่รักกันไว้ หนะดีที่สุด) ความรักบางทีมันคงไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรไม่ได้ แต่ถ้าเรามีจิตใจดี ไม่คิดร้าย ยังไงสิ่งดี ๆ ก็ต้องตามมาอย่างแน่นอน สาธุ

ป.ล. ที่เขียนมารู้มากไปหมด แต่ป่านนี้ทำไมเราถึงยังไม่มีแฟนวะเนี่ย ว่าง ๆ ก็หยิบมาฝากสักคนนะค้าบ

MR.HANDSOME