Showing posts with label Mr Handsome. Show all posts
Showing posts with label Mr Handsome. Show all posts

Sunday, 9 June 2024

Mr Handsome returns


A regular contributor to this blog back in its heyday was Mr Handsome, a young gay Thai living in Bangkok.

When he started writing for the blog in late 2006, he had finished his studies and was taking his first steps into the adult world.

I cannot recall how we met (we never managed to do so in person), but we kept up regular email correspondence while our online friendship lasted.

At the time I provided a English translation to accompany his Thai, though I no longer have the English, as I deleted the posts that appeared on this blog.

Going through old emails, however, I found I still have his original pieces in Thai, and would like to repost them here.

His writing could be caustic, entertaining  and witty, as regular readers noted at the time.

He was a natural talent, and enjoyed sharing his stories. I am not sure if he ever showed his writing to his Thai friends, but Mr H was seldom short of story ideas, and could surprise me with some of the topics he chose.

A prolific contributor, Mr Handsome penned over 50 stories between December, 2006, with an opening piece about his quest to find a boyfriend, and June 2008, when he wrapped up his contributions with a story on Camfrog.

The first of his posts is here. I will put up the others gradually over the next couple of months, under the Mr Handsome label.

Note: Thanks to this site for the Chinatown pic. Most of the images which will illustrate his posts are unrelated, though in a few cases I have found pics which pertain to the subject matter, such as the films which Mr H reviewed back then.

Saturday, 11 August 2007

ไม่อยากอ้วน….....


หลายคนบนโลกใบนี้คงประสบปัญหากับไขมันส่วนเกินในร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้รูปร่างผิดสัดส่วนเกินพอดี หรือที่เรียกกันว่าอ้วนอวบอั๋นนั่นเอง บางคนก็อ้างว่าระบบเผาผลาญในร่างกายไม่ดี บางคนก็โทษกรรมพันธ์ ซึ่งขณะที่คอยแต่โทษหรืออ้างสิ่งต่าง ๆ นั้น คนอ้วนบางคน ย้ำว่าบางคนกลับลืมคิดไปว่า บางทีมันอาจไม่ใช่กรรมเก่า บางทีมันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้ หรือโชคร้าย แต่มันคือสิ่งที่เราเป็นผู้กระทำ สร้างสมพอกพูนทะนุถนอมดูแลไขมันน้อย ๆ ให้เติบใหญ่ขึ้นมาเอง เนื่องจากผมได้มีโอกาสรู้จักและสนิทกับคนอ้วนมากมายหลายคน และผมเห็นว่าทุกคนที่ผมสนิทและรู้จักนั้นสามารถชี้ลงไปชัดเจนได้เลยว่า ทำไมแก(มึง)ถึงได้อ้วนอย่างนี้ ซึ่งเหตุผลก็มีดังนี้ แต่นแต๊น...........


-          กินขนมไม่หยุด มากกว่าคนผอมหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาเช้า สาย บ่าย เย็น กินขนมจุบจิบได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะขนม ลูกอมอะไรที่มัน ๆ แป้ง ๆ น้ำตาล ๆ เนี่ยจะชอบเป็นพิเศษ

-          กินอาหารมื้อหลักน้อยมาก เห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้จริง ๆ พวกอ้วนแทบตาย แล้วกลัวอ้วนทำมากินข้าวน้อยเท่าแมวดม ถ้ามันแค่นั้นคงพอจะผอมได้ แต่ว่ากลับกินขนมนมเนยจุบจิบทั้งวันด้วยเนี่ยน่ะ

-          พวกอดมื้อกินมื้อ ไม่ใช่อะไรก็พวกที่ทำมาจะอดอาหารลดความอ้วน ที่ไหนได้อดได้สองมื้อ พอมื้อเย็นตะปูมตะปามมูมมากกินเหมือนอีแร้งลง พวกนี้ไม่ไหว ๆ น่าเห็นใจ คือมีความพยายามจะอด (แม้จะเวลาสั้นมากกก) แต่ตบะแตกทุกที แถมพอกินทีก็มากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอดไม่มีวินัยจริงจัง พวกนี้จะเก่งเรื่องผัดวันประกันพรุ่งในการผอม

-          กินเหมือนช้าง เหมือนควาย อันนี้ตรงตัวไม่ต้องอธิบาย พวกกินไม่อายฟ้าดิน

-          ไม่ออกกำลัง ในที่นี้หมายถึงขี้เกียจอย่างรุนแรง ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดออกกำลังจริงจังก็ได้ แค่เดินไปหน้าปากซอย หรือเดินขึ้นบันไดไม่กี่ก้าว ก็จะเกิดอาการเป็นง่อยอ่อนเปลี้ยขึ้นมาเป็นพิเศษ แต่อย่างว่าต้องหอบไขมันเดิน มันต้องเหนื่อยกว่าคนทั่วไปเป็นธรรมดา (อ้างยังงี้ประจำเลย)

วิธีลดความอ้วนด้วยตนเองมีมากมาย การค่อย ๆ ลดอย่างเป็นธรรมชาติ ย่อมดีกว่าการลดลงอย่างฉับพลัน คนอ้วนหลายคนมีความฝันว่าถ้าเก็บเงินได้จะไปดูดไขมันทิ้งซะเลย แต่จงระวังไว้ว่าการกระทำอะไรที่ไม่ค่อยเป็นค่อยไปแบบธรรมชาติย่อมมีความเสี่ยงสูงต่อร่างกาย อีกทั้งอาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพที่ตามมาอีกด้วย และโอกาสกลับมาอ้วนแบบเดิมก็สูงเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเสียเงินไปแล้วจะผอมตลอดไป ถ้าไม่ระวังดูและรักษาตัวเอง

คนอ้วน ๆ ถ้าขาว ๆ น่ารักก็ยังพอดูสะอาด ดูดีแบบอึดอัด แต่ถ้าดำ ๆ  มัน ๆ จะดูสกปรกสังคมรังเกียจอย่างแรง และการที่อ้วนเนี่ยยังมีข้อเสียอีกคืออาจทำให้มีกลิ่นตัว เหงื่อออกง่าย เป็นโรคไขมันอุดตัน เป็นต้น และแน่นอนว่าสำหรับบางคนอาจมีผลต่อสุขภาพจิตและบุคลิกภาพอีกด้วย

คิดดูน่าอายมั๊ยเนี่ย ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้วเหตุผลคือเพราะเราอ้วน เช่น ถ้าตึกที่เราอยู่ไฟไหม้ เราอยู่ชั้นสิบเก้า เราได้แต่วิ่งต้วมเตี้ยมลงมาไม่ทัน ไฟคลอกตายแน่ หรือถ้าเราเดินตกท่อบางทีเราอาจไม่มีปัญญายกตัวเองขึ้นมาเนื่องจากหนักตัวเองเกิน หรือเอาง่าย ๆ ถ้ามีทางแคบคุณอาจไม่สามารถเดินผ่านได้ เพราะติดไขมันตัวเอง

จริง ๆ แล้วคนอ้วนบางคนอาจจะบอกว่า จะให้ทำยังไงพยายามแล้วนี่ มันอ้วนเอง อันนี้ก็โอเคบางทีมันอาจจะอ้วนแบบเป็นโรคต้องรักษาจริงจัง หรือทำใจ  แต่คนอ้วนบางคนนี่สิอยากจะผอมแต่กลับขุนตัวเองให้อ้วนเอา ๆ บางทีมานั่งอิจฉาคนผอมหรือนึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราอ้วนๆๆๆ อีกต่างหาก ที่เขียนมาเนี่ย มันจะสะกิดใจพวกที่อ้วนแล้วอยากผอม มัวแต่มีข้ออ้างและโทษคนอื่น แต่จริง ๆ เพราะทำตัวเองทำตัวเองแท้ ๆ เพราะงั้นถ้าอยากผอมจริง ลองสำรวจพฤติกรรมของตัวเองดูว่า ทำไมเราถึงอ้วน แล้วก็ลองแก้ปัญหาดู ถ้ามีความมุ่งมั่นพยายามจริงจังซะอย่างรับรองผอมชัวร์ ๆ........ร่างกายอวบ ๆ ต้องแพ้ใจที่มันหนักแน่นแน่นอนนะหนูน้อย ^^

Wednesday, 8 August 2007

สมัครแอร์ (สจวต)


พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอาจเป็นงานที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยากจะเป็น โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ไฟแรง (เพราะว่าแก่ ๆ สมัครไปโอกาสได้ยาก บางที่จำกัดอายุด้วย) ถ้าเทียบกับงานบริการต่าง  ๆ พวก call center,customer service หรือพวกงานโรงแรม   การเป็นสจวตน่าจะดูหรูหราไฮโซกว่าเยอะเลยถ้าเทียบกับงานบริการอื่น ๆ 

และเป็นงานที่น่าสนใจเป็นแล้วได้เชิดหน้า(ชูคอ) สำหรับบางคนด้วยนะ แม้ว่าจะขึ้นไปเป็นเด็กเสริฟและขัดส้วมบนเครื่องบินก็ตาม อิอิ (อย่ามารุมด่านะ มันจริงนิ)   สำหรับคนที่ชอบและอยากทำงานบริการจัดว่าเป็นอาชีพที่เป็นเป้าหมายสูงสุดเลยนะ และที่สำคัญผู้ชายไทยส่วนมากที่สมัครหรืออยากทำงานจำพวกนี้ได้มักจะเป็นเกย์ กระเทยแทบหมดทั้งก๊กเลย ให้ตายเหอะ!!

สมัยผมยังเด็ก ๆ ก็เคยไปสมัครดูกับเค้าเหมือนกันนะ  อารมณ์เหมือนข้อแก้ตัวของพวกนางงามหรือดาราหนะ คือไปเป็นเพื่อนเพื่อนแล้วก็ถือโอกาสสมัครด้วยแล้วกัน (จริง ๆ ใจก็แอบหวังอยู่เหมือนกัน เผื่อฟลุคได้ขึ้นมา)  คุณสมบัติขั้นต้นที่แน่ ๆ คือ ต้องไม่เตี้ย ต้องไม่อ้วน คิดจากเอาสัดส่วนน้ำหนักลบส่วนสูง เพราะงั้นพวกเตี้ยผิดปกติหรืออ้วนผอมเกินพิกัดก็ไม่ต้องเสล่อไป แม้จะภาษาดีก็อดสมัครตกตั้งแต่ร่างกาย โทษใครก็ไม่ได้ เกิดใหม่เท่านั้น  

พวกรายละเอียดขั้นตอนประสบการณ์การสมัครและอื่น ๆ  สำหรับบางคนถ้าอยากรู้ ไปอ่านดูเองใน www.thaicabincrew.com ทั่วไปต้องมีผลคะแนนโทอิค ก็จงไปสมัครสอบซะ สอบ ๆ ไปเหอะให้คะแนนผ่านเกณฑ์ของสายการบินนั้น ๆ ไม่ยาก ถ้าใครสอบแล้วคะแนนสมัครไม่ได้ซะที ก็พยายามเข้า ถ้าสอบสักร้อยรอบยังไงก็คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ซะทีก็ไม่ต้องไป เพราะมันไม่ได้ยากอะไรมากมาย

สมมติถ้าสอบได้ก็เอาไปเป็นหลักฐานยื่นสมัครได้แล้ว  เริ่มต้นเตรียมตัว ๆ แน่นอนต้องมีรูปถ่ายเพื่อใช้ประกอบการสมัครงาน ซึ่งคนทั่วไปมักจะพยายามหาร้านที่ถ่ายแล้วออกมาหน้าไม่เหมือนเรา (ดูดีกว่าตัวจริง) ผมก็ไปถ่ายรูปตามร้านที่เค้านิยม ๆ ที่บอกว่าแต่งรูปเนียนให้มันดีกว่าตัวจริง ๆ เยอะ ๆ ไม่รู้ข้อดีข้อเสีย เพราะตอนเจอตัวจริง แล้วเราดูแย่กว่าในรูปเนี่ย

เล่าตอนไป walk-in  เลยดีกว่า บรรยากาศดูละลานตา มีชายใส่สูทเต็มไปหมด ผู้หญิงขอไม่เอ่ยถึง ไม่ค่อยได้มอง อิอิ แต่ว่าชายเทียมเยอะมากกกกกกกกกถงึมากที่สุด ถ้าจำแนกตามสัดส่วนของผู้สมัครจะพบว่า กระเทยสาวแตกมีจำนวนมากมาเป็นอันดับต้น ๆของผู้สมัคร พอ ๆ กับกระเทยเก๊กแมน แต่โดยรวม(ผ่าน ๆ )ก็ถือว่าดูผู้ชายดีโดยเฉพาะตอนสัมภาษณ์จะแมนกันเป็นพิเศษ ขอนินทาหน่อยเหอะ บางคนเนี่ยหน้าตาอุบาทว์ดูไม่ได้ ดูไม่ดี บางคนเตี้ย บางคนอ้วนพุงห้อย  

อาชีพนี้รูปลักษณ์ก็จัดว่าสำคัญนะ บางคนสิวเขรอะยังช่างกล้ามาสมัคร แต่จะว่าไปโอกาสมีมา ถ้าใจมันอยากเป็นถึงรูปลักษณ์ทางกายภาพไม่ได้ ก็น่าจะลองเสี่ยงดู เผื่อดวงดีเนาะ ถ้ามีความสามารถพอมากกว่าภายนอกที่ขัดลูกกะตา ก็ยังมีโอกาสลุ้น ๆ

โอกาสสมัครแล้วได้งาน จะว่าไปก็ง่ายมาก ถ้าเราภาษาดีสุดยอด หน้าตาดี หุ่นดี พวกนี้ได้ชัวร์ ๆ แต่มักมีไม่กี่คนที่คุณสมบัติพร้อมแบบที่ไปสมัครได้ชัวร์ ๆ แบบนี้ เพราะคนทั่วไปส่วนใหญ่ รวมทั้งผมก็มักจะเป็นพวกหน้าตา บุคลิกไม่ให้ ความสามารถไม่ให้แต่ใจอยากสมัคร ก็พอมีความสามารถ(บ้างนะ) แต่ต้องลุ้นเอา เพราะคนแข่งขันสมัครเยอะมาก สมมติ รับสิบคน อาจจะมาสมัครกันซะเป็นร้อยคนอะไรแบบนี้ เล่าคร่าว ๆ ขั้นตอนการสมัคร ขั้นต้นไปถึงวัดส่วนสูงช่างน้ำหนัก 

ยื่นหลักฐาน รอคิวเตรียมสัมภาษณ์ ระหว่างรอก็แอบมองดูว่าคนอื่นเค้าดูดีกันมั้ย ก็มักจะพบว่ามีพวกเชี่ยวชาญกร้านเวที คือสมัครมาแล้วหลายสายการบิน พวกนี้จะดูคล่องไม่ประหม่า เชี่ยว ๆๆ มีพรรคพวกที่ใจรักเหมือนกันมาสมัคร ขณะเดียวกันก็มีพวกเด็กใหม่ ไม่เคยมาสมัคร จะดูประหม่าตื่นเต้น ดูปุ๊ปรูปั๊ปเลยว่าพึ่งเคยมาสมัคร แต่บางคนก็เนียนทำตัวมืออาชีพ แบบผมเป็นต้น อิอิ อย่าลืมแต่งตัวเนี้ยบ ๆ ทำผม อย่าทำหน้ามันมาหละ

ขั้นตอนโดยส่วนใหญ่มักจะคล้าย ๆ กัน คือ ถ้าสัมภาษณ์ผ่าน ก็ต้องไปสัมภาษณ์อีกรอบ ทำข้อสอบจิตวิทยา ตรวจร่างกาย สอบว่ายน้ำ แล้วรอผลซึ่งมักจะนานเป็นเดือน แล้วก็ได้งาน แล้วก็ต้องเทรนอีกเป็นเดือน ๆ กว่าจะได้ทำงาน เพราะฉะนั้นหลายคนจึงมักทำงานกินเงินเดือนไปวัน ๆ แล้วแอบลางานไปสมัครแอร์สจวต เพราะถ้าจะให้มุ่งมั่นรอ โดยการตกงานเพื่ออาชีพนี้ คงต้องรอจนเหงือกแห้ง เพราะแม้จะได้รับเข้าทำงาน ยังต้องใช้ระยะเวลารอเลยกว่าจะเรียกเทรน

ผมเคยไปสมัครแค่ไม่กี่ที่ (สมัครตั้งสองที่แนะ) น่าขายหน้าจริง ๆ ตกรอบไม่เคยได้ซะที แล้วก็ตอนนี้เปลี่ยนแนวคิดแล้ว ค้นพบซะก่อนว่าไม่ใช่อาชีพที่เราอยากจะทำในอนาคตแน่ ๆ เลยไม่รู้จะสมัครทำไมอีก (เดี๋ยวยิ่งสมัครมากตกรอบทุกที สถิติไม่ได้งานจะยิ่งเยอะน่าดู ฮ่า ๆ ) แต่สำหรับใครที่อยากเป็นสนใจ อยากหารายละเอี
ยดต่าง ๆ อ่าน ต้องเข้าเลยเวปนี้เวปเดียวดังสุด ๆ ใคร ๆ ก็เข้า www.thaicabincrew.com (โฆษณาให้ตั้งสองรอบแนะ) โชคดี ๆ

Sunday, 22 July 2007

เกย์โรคจิตตามห้องน้ำสาธารณะ(อีกแล้ว)


ไม่อยากเชื่อเลยให้ตายเหอะ ว่าสมัยนี้มีแต่คนโรคจิต ผมในฐานะที่โรคจิตนิดหน่อย เลยสามารถมองเห็นพวกโรคจิตที่ปะปนอยู่ในสังคมได้เป็นพิเศษเหมือนมีตาทิพย์ พูดง่าย ๆ เหมือนคุณเป็นเกย์ แล้วคุณเดินไปในที่สาธารณะ คุณก็สามารถแยกแยะว่าใครเป็นเกย์หรือไม่เป็นได้คร่าว ๆ จากการสบตา 

ซึ่งคนที่ไม่ได้เป็นเกย์ อาจจะไม่รู้ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น  ผมก็สามารถเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วมองปราดไปสะดุดกับพวกเกย์โรคจิตได้ง่ายดาย เอ แต่จะว่าไป พวกนี้ดูง่ายจะตาย ไม่ต้องมีเซนส์อะไรก็เจอดาษดื่นทั่วไปหมดเลย ยังกะแมลงวันยั้วเยี้ยตอมขี้เลย

ในฐานะที่ผมเป็นคนหน้าตาปานกลาง ทำให้มีโอกาสได้ถูกลวนลามทางสายตาในห้องน้ำชายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งพวกนี้แบบที่เคยเล่าไปจะเอาสายตาลวนลามอวัยวะเพศเราอย่างไม่อายแก่ใจ มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกภูมิใจว่าของเราน่ามองหรอกนะ

เพราะพวกนี้มันโรคจิต แค่เห็นอวัยวะเพศของชายไม่ว่าหน้าไหน มันก็อยากดูทั้งนั้น ไม่เกี่ยงรูปร่างหน้าตาหรอก ซึ่งผมเดาเอาว่า ต้องมีพวกโรคจิตเหมือนกัน ที่น่าเอน็จอนาจมาหาคนโชว์ด้วยกันตามห้องน้ำสาธารณะก็คงไม่น้อย ถ้าเจอกันคงแจ็คพอตได้มีโอกาสได้เสียกันเป็นแน่

ชีวิตประจำวันของผมเจอบ่อย จนงงว่านี่มันเป็นเรื่องปกติของสังคมในที่สาธารณะ เหมือนเราเห็นขอทานข้างถนนรึเปล่าเนี่ย เพราะว่าปวดฉี่ ไปเข้าห้องน้ำสาธารณะแถวปากซอยแถวบ้าน ไปสิบครั้ง เจอพวกจิต ๆ สักเจ็ดครั้ง พูดจริงๆ เลยนะ ป่าวโม้  น่ากลัวมาก ๆๆ ด้วย  

หน้ามัน ๆ ดำ ๆ หื่น ๆ สายตาลอกแล่ก คอยมองเหยื่อเข้าส้วม แล้วทำยืนล้างมือ พอเราเดินไปฉี่มาฉี่ประกบ อุบาทว์มาก บางทีผมรำคาญก็ขี้เกียจปิด ยืนฉี่หนีบ ๆ เพราะคนมันปวดฉี่นินา ก็ให้มันมอง ๆ ไป แล้งเราก็รีบทำธุระของเราให้จบไป บางคนน่ากลัวถึงขนาดยืนประจำโถฉี่ไปเลย ประมาณว่าคนมายืนหมุนเวียนฉี่สิบคนข้าง ๆ โถที่เค้ายืน มันก็ยังยืนอยู่ไม่ไปไหน ฉี่ไม่เสร็จซะที สงสัยกินน้ำทะเลมาเยอะมั้ง บางครั้ง บางคนหน้าตาปกติไม่ดูโรคจิตมาก ๆ แต่ว่าผมไม่แน่ใจไงว่าเค้ามองเวลาเราฉี่มั้ย เดาว่าเราคงคิดมากเอง

เพราะผมก็ไม่กล้าสบตาคนเวลาผมยืนฉี่ข้าง ๆ เพราะผมไม่อยากมองหน้าใครอยู่แล้ว เรามาฉี่นิ แต่ว่าพอผมเดินมาล้างมือ แอบเหลือบ ๆ ดู ทำให้เห็นว่ามันก็แอบมองคนที่มาฉี่ถัดมาและถัดมาแบบเนียน ๆๆ เรื่อย ๆ เลย (ไอ้เราก็ช่างเสือกไปแอบมองพวกนี้อีกที อิอิ)

ไปห้องน้ำในห้างแถวที่ทำงานก็เจอแนว ๆ นี้  ไปห้องน้ำในห้างต่าง ๆ ก็เวลาไปเที่ยว ก็เจอคนโรคจิต มันเยอะมาก จนน่ากลัว จนสงสัยว่าผู้ชายมันขาดแคลนมากเลยเหรอเนี่ย ต้องมาหาเอาตามส้วม หรือว่าจิตใจมันเสื่อมโทรม จนต้องมาทำตัวเสื่อมทรามให้สังคมรังเกียจเนี่ย ขนาดผมเป็นเกย์ชอบผู้ชายยังรังเกียจเลย แล้วประสาอะไรกับผู้ชายแท้ ที่เค้าจะยิ่งรังเกียจรู้สึกทุเรศเป็นทวีคูณกับพวกบ้ากามตามส้วมเนี่ย

วิธีแก้ปัญหามันไม่มีเท่าไหร่ เพราะยังไงผู้ชายมันก็ไม่เสียอะไร แล้วพวกนี้โดยมากคงไม่ทำร้ายใคร เพราะมักจะขี้ขลาด แค่โรคจิต หื่น อยากดูของลับ แค่นั้น คงน้อยที่จะมาลวนลามจริงจัง ถ้าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย ถ้าแค่ปวดฉี่จะให้ไปเข้าห้องน้ำปิดประตูก็เกินไปและ เพราะเรายืนฉี่ที่โถสะดวกกว่า แล้วอีกอย่างเราปวดฉี่ของเรา ไม่ได้ทำไรผิด คงไม่ต้องไปกลัวพวกที่มันผิดปกติทางจิตใจหรอกมั้ง แค่เตรียมหมัดไว้ชกก็พอกรณีฉุกเฉิน ฮ่า ๆ ^^  

ช่วงปรับตัว


ถ้าคุณเคยรักใครจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำพูด คงจะเข้าใจความรู้สึกดี ว่าความสุขจากการที่ได้รักใครเป็นยังไง แต่เรื่องความสุขพูดไปคนก็จะอิจฉาเปล่า ๆ อิอิ พูดเรื่องในแง่ลบดีกว่า มีความสุขแน่นอนมันย่อมมาพร้อมกับความทุกข์เป็นสัจธรรมของโลก ตราบใดที่ยังไม่ใช่นักบวชหรือพวกบรรลุธรรม คงจะรักโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนมันยากมาก สำหรับผมรักแล้วก็ยังมีความคาดหวังว่าจะได้การตอบสนองกลับมาอย่างที่ต้องการ บางทีเรารู้สึกดี ๆ ด้วย ก็อยากให้แฟนรู้สึกดี ๆ แบบที่เรารู้สึกดี ๆ 

แต่มันคือคนอีกคน จะไปบังคับให้ทำแบบนั้นแบบนี้ถึงแม้เค้าจะทำตาม มันก็ไม่ใช่ความสุข เพราะความสุขจากแฟนต้องเป็นการกระทำที่เราได้รับการปฏบัติจากใจจริง ๆ ไม่ใช่การทำตามหน้าที่แฟนที่ดี บางครั้งมีคนด่าว่า แกมันไม่ได้เรื่อง หรือทำท่าหมั่นไส้รำคาญเรา ผมจะไม่รู้สึกอะไร (หน้าค่อนข้างหนา) แต่ถ้าเป็นแฟนของเราพูด มันรู้สึกเสียใจและรู้สึกมากกว่าคนอื่นหลายเท่า เพราะคนที่เราไว้ใจ มันเหมือนกับการโดนทำร้ายจากคนที่เรารักมันจะเจ็บกว่า

โดยศัตรูทำร้ายแน่นอน และผมพึ่งค้นพบว่าคนเรายิ่งอยู่ด้วยกันใช้เวลากันมากขึ้น แบบผมกับแฟน ข้อดีคือรู้จักตัวตน นิสัย จิตใจของกันและกันมากขึ้น แต่ข้อเสียมาก ๆ ก็คือ ทำให้เห็นข้อเสียของกันและกันมากขึ้น ๆๆๆ อีกทั้งความเป็นกันเอง เหมือนอารมณ์คนมันกันเองรู้กันแล้ว ทำให้เกิดอาการชิน การไม่ใส่ใจ เช่น สมมติ ถ้าเราพึ่งคบกันใหม่ บางทียังมีความเกรงใจ บางทีจะถามว่าไปกินข้าวไหนดี  บางทีพูดอะไรทำอะไรก็ระวัง กลัวไปทำไม่ดีใส่ แต่ถ้าคนมันกันเองแล้ว มันจะมึน ๆ ไม่ใส่ใจในอารมณ์รายละเอียด ของกันและกัน

แรก ๆ พูดอะไรก็อยากฟัง อยากคุย อยากเจอกันตลอดเวลา หลัง ๆ พูดอะไรบางทีรำคาญญญญ ไม่อยากฟัง บ่นอะไรวะเนี่ย บางทีวันนี้เหนื่อยแล้วไม่เจอหน้ากันบ้างดีกว่า อยากได้เวลาส่วนตัว เป็นต้น

ชีวิตคู่ของคนมันมักจะมีวัฎจักรแบบนี้ คือ ช่วงแรก รักมาก หลงมาก อะไรก็ดี หลัง ๆ แม้จะดีต่อกัน แต่ความรู้สึกที่หวือหวามันจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งคนมักจะเลิกกันเมื่อเบื่อหรือคิดว่าถึงจุดอิ่มตัว  ช่วงนี้ถ้าเราปรับตัวกันได้ยอมรับข้อดีข้อเสียความแตกต่างกันได้ มันก็จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้นาน ซึ่งผมก็หวังว่าผมจะมีวันนั้นเช่นกัน รักนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยจริง ๆ ให้ตายเหอะ !!!

ตรวจเอดส์


เอดส์เป็นเรื่องที่เหมือนจะไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วไกล้ตัวกว่าที่คิด ถ้าคุณซื่อสัตย์กับแฟน ก็ไม่ได้หมายความว่าแฟนที่ซื่อสัตย์ของคุณจะไม่มีวันเผลอผิดพลาด แม้ตัวคุณเองก็ตาม แม้แต่บางอย่างที่ดูแล้วไม่น่าจะมีโอกาสเสี่ยงมากมายแต่มันก็มีได้ 

อย่างเช่น คนรู้จักของผมติดเอดส์จากแค่การประมาท อยู่หอเดียวกันกับเพื่อนอีกคน แล้วใช้ที่โกนหนวดร่วมกัน ภายหลังพบว่าเค้าติดเอดส์จากเพื่อน เคยได้ยินข่าวบางคนไปโรงพยาบาลผ่าตัดแล้วติดเอดส์จากเข็มของโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด(ดวงสุดซวย) 

จะว่าไปมันเหนือการควบคุมอย่าไปคิดเวอร์ขนาดนั้นเลย เอาเป็นว่าเรื่องที่เราพอที่จะควบคุมได้ก็คือการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งควรจะใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งแม้จะไม่ได้ป้องกันร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็จัดว่าปลอดภัยสูง และไม่ได้ถือว่ายุ่งย่างแต่อย่างใด

ที่พูดมามันคือหลักการง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้ แต่ที่มันยากคือการปฏิบัติจริง อย่างเช่นผมเป็นต้น (ในอดีต) ซึ่งทำให้ผมจำเป็นต้องไปตรวจเลือดว่ามีเชื้อ HIV รึเปล่า ไม่เชิงลุ้นเท่าไหร่ว่าจะเป็น แต่โอกาสเป็นมันก็ถือว่ามี เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจเลยต้องตรวจดู 

การตรวจเลือดบางคนอาจจะอาย อาจไม่อยากเปิดเผยตัว ซึ่งก็มีพวกคลินิคนิรนามที่เราไม่จำเป็นต้องเปิดเผยชื่อ และสมัยนี้สามารถรู้ผลตรวจได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง การเตรียมตัวก็ไม่ต้องอดน้ำอดอาหารอะไรเลย แต่ถ้าจะเอาผลที่ชัดเจนมั่นใจ ต้องเว้นระยะจากวันที่คุณคิดว่ามีความเสี่ยงสักสามเดือน เช่น สมมติไปมีอะไรกับคนที่เราไม่แน่ใจว่าเค้าเป็นมั้ยโดยไม่ใส่ถุง 

นับจากวันนั้นเราก็ต้องเว้นระยะถึงสามเดือนเพื่อตรวจ(หยุดการมีเพศสัมพันธ์สามเดือนคงไม่ตาย อิอิ)  เพราะสมมติว่าวันนั้นถึงเราเป็นเอดส์จริง แต่ว่าถ้าเราตรวจเลยช่วงเวลาที่เร็วเกิน ผลเลือดก็จะเป็นลบอยู่ดี (หรือก็คือตรวจไม่พบเชื้อ) เพราะฉะนั้นการตรวจเอดส์ก็ต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าว่าจะตรวจพอสมควรนะ  เข้าเรื่อง พอไปถึงคลินิคตรวจ ก็แจ้งชื่อปลอม แล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่มาพูดคุยให้ความรู้นิดหน่อย (ขี้เกียจฟัง) รู้หมดแล้วว่าต้องระวังยังไง พูดซ้ำซาก ฮ่า ๆ 

แต่ว่าถ้าตูไม่ประมาทคงไม่ต้องมานั่งฟังเค้าพูดแบบนี้อีกหรอกเนอะ อืม ๆๆ  ก็แกล้งฟัง แกล้งโกหก แกล้งเออออไป แต่จริง ๆ แล้วถ้าเราพูดความจริง หรืออยากถามความรู้อะไรสำหรับคนที่สงสัยหรือไม่มีความรู้บางอย่าง ก็ถามไปเลยนะ ไหน ๆ เสียเงินตรวจแล้วเนี่ย  จากนั้นก็เจาะเลือดรอผลตื่นเต้น ๆๆ ลุ้น ๆๆ ว่าจะหมดอนาคตรึเปล่า แต่สุดท้ายในที่สุดผมก็ไม่เป็นเอดส์ วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ จบจบจบ 

ทิ้งท้ายอย่างเป็นทางการไว้ว่าคนที่มีเพศสัมพันธ์ แม้จะแค่กับคู่ของตนก็ตาม ควรที่จะตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีสักปีละครั้ง หรือจะสี่เดือนครั้งได้ยิ่งดี ถือซะว่ามันเป็นการตรวจเช็คสุขภาพก็แล้วกัน และถ้าจะดีไปกว่านั้น ก็อย่าสำส่อนและถึงแม้ไม่สำส่อนก็ป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะเป็นการดีที่สุด

 โหหหหหห  ครั้งนี้เขียนทางการมาก ๆอิอิ

Friday, 20 July 2007

Eternal Summer



เรื่องย่อ

เชนและโจนาธานรู้จักและเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก โดยทั้งคู่เริ่มต้นสนิทกันจากการที่ครูขอร้องให้โจนาธานคอยดูแลเชน เด็กเกเรประจำห้องที่ไม่มีคนคบ ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันและอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา และเป็นเพื่อนที่ดีของกันและกัน จนกระทั่งหญิงสาวชื่อแครี่ได้เข้ามารู้จักกับโจนาธาน 

เธอชอบโจนาธานมาก ขณะเดียวกันโจนาธานก็ดูท่าจะมีใจให้เธอเช่นกัน แต่ในที่สุดโจนาธานก็ไม่อาจจะฝืนใจมาคบกับแครี่ได้ เนื่องจากในใจของโจนาธานมีแต่เชนเท่านั้น เรื่องราวอะไรมันคงง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะเชนและโจนาธานต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่  โจนาธานจึงได้แต่เก็บความรู้สึกไว้เป็นความลับในใจเงียบ ๆ โดยที่แครี่ก็รับรู้เข้าใจและสามารถตัดใจจากโจนาธานได้แม้จะโศกเศร้าก็ตาม โดยเธอสัญญาจะรักษาความลับนี้ไว้ตามที่โจนาธานขอร้อง 

ทางฝ่ายเชนก็กลับคิดว่าโจนาธานและแครี่ชอบกัน และเขาเริ่มรู้สึกหึงหวงโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้แครี่เข้ามาพัวพันอยู่ในชีวิตของชายหนุ่มทั้งสองคน แต่เรื่องราวก็กลับตรงกันข้ามเมื่อเชนกลับไปชอบแครี่หลังจากที่รู้ว่าเธอไม่ใช่แฟนกับโจนาธานแล้ว โดยแครี่บอกว่าจะคบกับเชนก็ต่อเมื่อเขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยลัยได้ (เนื่องจากเชนขี้เกียจ ไม่มีแววสอบได้แน่ ๆ ) 

แต่ในที่สุดเชนก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยและเริ่มคบกับแครี่โดยที่ไม่ได้บอกให้โจนาธานรู้ แต่ใครจะรู้ว่าบางทีเชนอาจพยายามสอบเข้ามหาลัย จุดประสงค์นึงก็เนื่องจากเค้าอยากจะเอ็นท์ติดจะได้เรียนมหาลัยเดียวกับโจนาธาน (ซึ่งขยันและเอนท์ติดแน่นอน) ก็เป็นได้   ความสัมพันธ์ตอนนี้ระหว่างเชนกับโจนาธานเริ่มจะแย่ลง เนื่องจากเชนยังคงคิดว่าโจนาธานเป็นเพื่อนสนิทแบบเดิมคนเดิม 

ขณะที่เจ้าตัวเองไม่สามารถเผชิญหน้ากับเชนได้อย่างสนิทใจอีก เนื่องจากเค้ารู้ใจของตัวเองที่ไม่สามารถรักกับเพื่อนสนิทตามที่ใจต้องการได้  วันประกาศผลสอบเข้ามหาลัยกลับกลายเป็นว่าโจนาธานเลือกที่จะเรียนมหาลัยเอกชน ซึ่งผิดคาดกับที่ทุกคนคิด ในทางกลับกันเชนกลับสอบเข้ามหาลัยรัฐได้ และก็ได้เริ่มต้นแอบคบเป็นแฟนกับแครี่ โดยที่ไม่มีใครบอกให้โจนาธานรับรู้  

แต่ ณ วันนึงโจนาธานก็ได้รับรู้ว่าเชนและแครี่คบกัน ทำให้เค้าเสียใจอย่างมากกว่าที่ตัวเองคาดคิด และพยายามตัดขาดความสัมพันธ์เป็นเพื่อนกับเชน แต่แล้วก็เกิดเหตุทำให้ทั้งสองคนได้มีความสัมพันธ์กันเกินเพื่อน ในขณะที่เชนก็ยังชอบแครี่อยู่ด้วย .............
เรื่องราวต่อไป ก็ต้องไปลองหาหนังไต้หวันเรื่องนี้มาดูนะครับ ^^

Sunday, 11 February 2007

เพื่อน


ถ้าถามคำนิยามของคำว่าว่า “เพื่อน” มันมีหลายแบบมาก

บางทีผมก็สับสนกับประเภทของเพื่อน ว่าเพื่อนที่มีมันเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว หรือเพื่อนตาย

เพราะถ้าจะมาบอกว่าจะมีเพื่อนคนไหนจะมาตายแทนเรา มันออกแนวเวอร์และเพื่อนต้องรักกันสุดยอด

และเราจะตายแทนเพื่อนเหรอ ก็คงไม่ ถ้าจะตาย ขอตายแทนพ่อแม่พี่น้องซะดีกว่า

งงเหมือนกันว่า ทำไมเราเข้าไปเรียนในที่ใหม่ ๆ เข้าไปทำงานที่ใหม่ เราก็จะกังวลเล็กน้อยว่าเราจะมีเพื่อนที่สนิท หรือคนที่สามารถคุยด้วยมั้ย แล้วก็ไม่เห็นต้องพยายามหาเพื่อนที่เราอยากคบ เพราะสุดท้าย คนที่สนิทกลุ่มเดียวกัน มันจะเข้าหาจับกลุ่มกันได้เองโดยปริยาย

ตอนนี้ที่นึกออกผมมีเพื่อนหลายแบบ (ไม่นับคนรู้จักเฉย ๆ นะ ) เช่น

เพื่อนที่เราว่าง ๆ เราจะโทรหาได้ ยามไม่มีไรทำ

เพื่อนที่เราอยากไปไหนมาไหนด้วย ไปเที่ยวด้วยแล้วสนุก มีความสุข แต่ไม่เคยคุยอะไรกันลึกซึ้ง

เพื่อนที่เรานาน ๆ เจอที แต่เรามีปัญหาไร เราจะนึกถึงคนนี้

เพื่อนที่นิสัยดี ๆ เป็นที่พึ่ง ยามเรานึกถึง แต่ปกติเราก็ไม่ได้ติดต่อ (หวังว่าจะนึกว่าเราเป็นเพื่อนนะ)

เพื่อนในกลุ่มที่เราก็คุยด้วย แต่ไม่สนิทมากมาย ซึ่งในกลุ่มเพื่อน มันก็ต้องมีคนที่สนิทสุดในกลุ่มของเพื่อนอีกที

ฯลฯ

รายชื่อเพื่อนในโทรศัพท์บางคน ผมแอดเบอร์ไว้ แต่ไม่เคยโทรคุย แล้วเราจะแลกกันทำไมเนอะ อิอิ บางทีพอนึกจะโทรหาใครเล่น ๆ กลับพบว่า รายชื่อมากมาย แต่มีไม่กี่คนที่เรามักจะโทรหา

ยามที่เราสุขเราจะเหมือนมีเพื่อนมากมาย แต่ยามที่เราทุกข์ เราถึงจะพบว่า คนไหนกันแน่ที่เป็นเพื่อนของเรา ที่เราสามารถพึ่งพาทางจิตใจได้

เพื่อนกันไม่ต้องมีฟอร์ม ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องพูดอะไรมาก ก็เข้าใจกันง่าย

คนนิสัยดีมาก ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเรา

เพื่อนที่ดีมันกำหนดไม่ได้ ว่าต้องเป็นแบบไหน คนมันจะใช่ มันก็คือใช่ (คล้าย ๆ แฟนเลย ฮ่า ๆ)

ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าเพื่อนผมเป็นเพื่อนประเภทไหน แต่ก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงผมก็ดีใจที่ผมมีเพื่อนที่ดี

และเค้าก็สามารถพูดได้ว่า ผมเป็นเพื่อนที่ดีด้วย แค่นี้ก็ดีใจมากแล้วเนอะ

อึดอัด อับอาย ที่เป็นเกย์


น่าแปลกมากที่ผมยอมรับตัวเองว่าเป็นเกย์ได้ ไม่ได้รู้สึกทุกข์

แต่ผมกลับยอมรับตัวเองกลับสังคม กลับคนรอบข้าง

ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ญาติ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมัยเรียนไม่ได้

เป็นเกย์ที่หลายคนพูดกันไม่ใช่เป็นโรค

แต่ผมกลับอายคนอื่นเหมือนผมมีหาง หรือเขางอก เหมือนเป็นโรคที่เปิดเผยไม่ได้

 สมัยเรียน ถ้าครูหรืออาจารย์พูดถึงเรื่องเกย์ แม้จะไม่ได้ดูถูก ผมกลับหน้าชา เหมือนถูกตบ รู้สึกร้อนตัววูบวาบ

ถ้ามีคนรอบข้างพูดถึงเกี่ยวกับเกย์ ในบางอารมณ์มันก็ยากเกินกว่าจะทำมึนเหมือนทุก ๆ ที มันรู้สึกอึดอัด

หน้าแดงวูบขึ้นมา เคยมีหลายครั้งที่อยู่ในสถานการณ์นี้ ก็พยายามฝึกไม่ให้ตัวเองรู้สึกร้อนตัว อับอายในใจ แต่มันก็มักจะทำไม่ได้
 
มีหลายทางที่เราจะหลุดพ้นจากความรู้สึกเช่นนี้ คือ การยอมรับความจริง เปิดเผย แต่ผมไม่ทำ เพราะไม่ใช่กลัวคนอื่นรับไม่ได้ แต่ผมเองที่รับไม่ได้ที่เราต้องยอมรับกับคนอื่น ทั้งที่ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นได้
 
อีกทางก็คือ หลีกเลี่ยงออกจากสังคม เช่น หนีไปให้ไกลจากสังคมเดิม ที่เราเคยอยู่มา ให้พ้นจากเพื่อนสมัยเรียน ญาติพี่น้อง ครอบครัว แต่ถ้าเราหนีไป เราก็จะต้องพบสังคมใหม่ ๆ อยู่ดี เพราะงั้นจะหลีกเลี่ยงไปทำไม ยกเว้นหนีไปตายแล้วเกิดใหม่ อาจหนีพ้น ฮ่า ๆ
 
เพราะฉะนั้นอีกทางก็คือ ต้องอยู่ตามปกติ โดยต้องฝึกความหน้าด้าน หน้าทน ความชินชา ความเข้มแข็ง

เพราะเราก็คือเรา ที่เราตัดสินใจว่าจะมีชีวิตในลักษณะแบบนี้
 
แน่นอนว่าความสุขมีไม่เต็มที่ แต่จะว่าไป จะมีสักกี่คนที่มีความสุขสมบูรณ์ในทุกด้าน

และก็แน่ยิ่งกว่าแน่ ที่การปิดบัง ไม่เปิดเผย มันไม่มีทางทำให้เราสุขได้เต็มที่

คนที่มีความลับไม่ว่าเรื่องไหน จะไม่มีวันสบายใจหรอก
 
ความลับบางอย่างเปิดเผย แล้วสบายใจ แต่บางอย่างเปิดเผยไป ก็อาจจะทุกข์ใจมากขึ้น

เพราะงั้นเรื่องอะไรจะมาสร้างความทุกข์ใจให้ตัวเอง จริงมั้ย
 
คนที่ยอมรับเกย์ได้มีมากมายก็จริง แต่คนที่ยอมรับด้วยใจจริง โดยไม่นึกไม่แบ่งแยก

เหมือนมองว่าเราเป็นชาย หญิงแท้คงยากมาก

 การที่เค้าไม่รังเกียจเรา เค้าใจกว้าง ก็ไม่สามารถช่วยเราในด้านจิตใจได้เลย ตราบใดที่เรายังมีปมด้อยในตัวเอง
 
ถึงยังไงการไม่เปิดเผย ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสุดสำหรับผม ณ ตอนนี้ แม้จะไม่สุขมากมาย

แต่ก็ไม่ทุกข์เต็มที่เหมือนกันหละน่า (แล้วจะมาบ่นพร่ำเพร้อทำไมเนี่ย อิอิ)

เมื่อตอนเด็ก


ตอนเด็ก ๆ วัน ๆ ไม่มีไรทำ แต่วันหยุดมันจะต้องมีการนัดกันไปเที่ยว (แถวบ้าน) จริง ๆ แล้วไม่เชิงนัด ก็เพื่อนบ้านใกล้กัน ก็บางทีก็ออกไปเล่นบ้านเพื่อน เพื่อนมาเล่นบ้านเรา ออกไปเล่นแถวบ้าน พาหมาไปด้วย บางทีก็ขี่จักรยาน 

บางทีก็สอยมะม่วง บางทีก็กินมาม่าเอามาคลุกรวมกัน บางทีก็เล่นบ้าน ไปเล่นในเพิงเก่า ๆ เก็บของ (สมัยนั้นยังไม่มีอันตรายในที่เปลี่ยว) บางทีก็เตะบอล บางทีก็ตีแบด บางทีพ่อแม่ก็จับไปปล่อยว่ายน้ำรวมกันที่สระ แล้วพอเลิกว่ายก็ปล่อยให้ลูก ๆ รอ ซึ่งตรงนั้นก็จะมีสนามเด็กเล่นให้เล่น แล้วก็ซื้อไอติม ซื้อขนมกิน บางครั้งก็ปีนหลังคาเล่น (ต้องแอบพ่อแม่) บางที แอบพาหลานที่มาหาปีนไปด้วย (ดีนะที่ไม่ตกหลังคา) 

เพื่อนบ้านผมจะมีสองบ้านใกล้ ๆ กัน ก็จะไปเล่นกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะมันบ้านใกล้ มันไปกันเองโดยไม่ต้องนัด  ที่ชอบมากที่ยังจำได้คือเล่นซ่อนหา แถวบ้านที่เคยอยู่ มันจะมีต้นไม้ มีห้องเก็บของรอบ ๆ บ้าน มีที่ให้แอบสนุกมาก แล้วก็มีอีกกิจกรรม คือ นั่งรถสาลี่ (รถไม้ที่เอาไว้ขนขยะอะ เค้าเรียกกันงี้นะ) ก็เอาเก้าอี้ขึ้นไปบนรถนั่งกันหลายคน แล้วให้พี่ที่ทำทำงาน มาเข็น ๆๆ แบบเร็ว ๆ ประหนึ่งนั่งไวกิ้ง)  บางวันก็แอบเอาหนังสือพิมพ์ไปนั่งเผาไฟเล่น บางครั้งเวลาฝนตก ก็จะออกเอาร่มไปหลาย ๆ อันไปวางกับพื้นกางนอกบ้าน แล้วเข้าไปนั่งในนั้น

วัยนักเรียนต้องมีการเปลี่ยนแปลงคือ ตัดผม จากผมยาวน่ารักวัยอนุบาล กลายเป็นผมเด๋อ ๆ ทรงนักเรียนประถมน่ารักเหมือนเดิม อิอิ ตอนตัดช่วงใหม่ ๆ รู้สึกอายคนแถวบ้านมาก

แล้วสมัยก่อน ก็มักจะมีโฆษณาพวกรองเท้า แถมของเล่น ที่พอจำได้ มีฮูลาฮูป มีสปริงที่เดินลงบันได ของหลอกเด็ก ๆ หนะ สมัยนั้น ฮิตมาก สมัยนี้คงไม่มีแล้วมั้ง

สมัยนั้นมีความโหดสูง อย่าหาว่าใจร้ายนะ เคยเอายาฆ่าแมลงไปฉีดใส่อาหารหมา เพราะเกลียดนกกระจอกแถวบ้านที่เยอะมาก มันชอบมาแย่งอาหารหมากิน แถมขี้นกจะเต็มพื้นไปหมด ที่บ้านเก่ามีต้นไม้ใหญ่ เลยวางแผนเอาอาหารหมา ไปฉีดย่าฆ่าแมลง พอนกกระจอกกินก็เลยนอนตายเกลื่อนเลย น่ากลัวมาก สยอง 

ขอโทษด้วยคนมันยังเด็ก  บางทีก็ชอบเอาหมาตัวเองมาตรงที่มันมีทรายก่อสร้าง แล้วขุด ๆๆหลุมทราย แล้วเอาหนังสือพิมพ์ปูทับ แล้วหลอกหมาตัวเองให้วิ่งมาหา ให้มันตกหลุม ตอนนั้นขำ ตอนนี้สงสารจัง    วิธีจับผีเสื้อ แมลงปอ ก็คนอื่นเค้าจะค่อย ๆ ย่องไปจับใช่มะ ส่วนผมเหรอแรก ๆ ก็ทำยังงั้น แต่ค้นพบวิธีใหม่ 

คือ เอาไม้แบดไล่ฟาดให้มันตกลงมา ไม่ต้องเสียเวลาย่องจับ มันก็จะพะงาบ ๆ ลงมาร่วงกับพื้น ซาดิสม์จังวะ จำได้อีกอย่างจับผีเสื้อได้ แล้วเอาก้อนหินทับปีกไว้กลัวมันหนี แล้วไปเที่ยวเล่นต่อ บางทีก็เด็ดปีกแมงปอด้วย  มีอยู่ครั้งนึงพยายามเอาผึ้งเข้าไปในปากปลาแรด (ปลาตัวใหญ่) ปรากฏว่ากรรมตามสนองผึ้งมันต่อยนิ้วเราแทน

บาดเจ็บสมัยเด็กที่ประจำเลย คือ เข่าถลอก ข้อศอกถลอกเป็นสะเก็ดประจำเลย แล้วก็จะคัน ๆ อยากแกะ ๆ เพราะชอบวิ่งเล่นหกล้มกัน อีกอย่างคือนิ้วเท้าเนื้อเหวอะ จากการที่เตะบอลเท้าเปล่า แล้วชอบเอานิ้วเท้าไปจกพื้นให้เนื้อมันเผยอ อันนี้น่ากลัวสุดในตอนนั้น แล้วก็มีนิ้วส้นบ้างนาน ๆ ที อ้อ มีครั้งนึงไปวิ่งไล่กันแถวราวตากผ้าของบ้านอื่น แล้ววิ่งชนราว เย็บต้องหลายเข็ม

เด็กต่างจังหวัดอย่างผม (รวมทั้งถามจากเพื่อนต่างจังหวัดที่รู้จักทั้งหมด) พบว่า ทุกคนจะต้องเคยเหยียบขี้หมาด้วยเท้าเปล่า ๆ มาแล้ว เพราะมันต้องมีสักช่วงนึงตอนเด็กหละน่า ที่ถอดรองเท้าออกไปวิ่งเล่น แล้วก็ แหมะ!!

พอตกเย็นก็วิ่งกลับบ้านมากินข้าว หิว ๆๆ อร่อย ๆๆ ตลกดีที่ชีวิตวัน ๆ ทำแค่นั้นกลับมีความสุขมาก โดยที่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าสุขคืออะไร แต่มันสนุกไปวัน ๆ ไม่ได้คิดว่ามันมีค่า ขณะที่ตอนนี้โตแล้ว กลับต้องพยายามใฝ่หาความสุข แปลกดี ที่เล่ามาคือตอนเด็ก ๆ จริง ๆ  
แล้วก็เด็กบ้านนอกนะ ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบนี้รึเปล่า 

แต่เด็กสมัยนี้คงไม่แบบนี้แล้วมั้ง สมัยนั้นยังไม่มีเนตให้เล่น ยังไม่มีเกมมากมาย ยังไม่มีไรมากมายแบบตอนนี้เลย จะว่าไปสมัยเด็กเรา บรรยากาศจะคล้าย ๆ หนังเรื่อง “แฟนฉัน”เลยหละ    เฮ้อ คนแก่แล้วก็มักจะนึกถึงวัยเด็ก  ดีใจจังที่เราเกิดและโตมาเป็นเด็กต่างจังหวัดในสมัยนั้น  ^ ^

Wednesday, 7 February 2007

ยี้....สกปรก


ทำไมโลกนี้สกปรกมาก ๆ อยู่บ้านก็สกปรก ทำความสะอาดเท่าไหร่ ฝุ่นก็ลงมาอีก

หายใจก็มีแต่ความสกปรก เชื้อโรค สัตว์ประหลาด แบคทีเรียเต็มอากาศไปหมด

พอออกไปข้างนอกตามถนนก็สกปรก ยิ่งแถวถังขยะมีแต่อะไรเน่า ๆ เหม็นหืน

บนถนนก็สกปรก เวลาฝนตกน้ำเน่า กักขังตามพื้นที่ที่มีหลุม เดินที น้ำกระเด็นใส่สกปรกที่สุด

กินข้าวนอกบ้านก็สกปรก ร้านที่สวย ๆ ในครัวบางที่อาจจะเน่าก็ได้

เวลากินร้านตามสั่งธรรมดา เราเอาทิชชูเช็ดช้อน แต่จริง ๆ แล้ว ทิชชูก็สกปรก ถูไปเชื้อโรคก็ไม่ต่างกับไม่เช็ด

พอจะเติมน้ำจิ้ม เครื่องปรุงก็สกปรก เก่าป่าวไม่รู้ จานชามก็สกปรก

จะสั่งน้ำกินก็.. ยี้ ฝาขวดสกปรก ทำไงถึงเปิดขวดน้ำอัดลมให้เชื้อโรคไม่ทันวิ่งลงไปนะ

หลอดก็วางไว้รวม ๆ กันในที่สกปรก แล้วเราก็เอาปากไปอม ไม้จิ้มฟันอีก บรึ๋ย

จะนั่งบนรถประจำทางก็สกปรก ไม่รู้ใครต่อใครมานั่ง เอามือจับราวก็สกปรก เคยเช็ดมั่งมะเนี่ย

โหย พอล้วงกระเป๋าตังค์เอาเงินก็สกปรก เพราะมีเศษกระดาษที่สกปรกจากที่อื่น แถมเงินที่เราใช้ก็โสโครกมาก ๆ

คิดสภาพเกิดมีใครทำแบงค์ตกส้วม แล้วเสียดายเอาขึ้นมาเช็ด ๆ แล้วใช้ต่อไปสิ บวกกับสารพัดเชื้อโรคต่อ ๆ มา

พอเราเกิดอยากจะเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ก็จะอ้วก ถ้าต้องถ่ายหนักเนี่ย คงไม่มีทางนั่งลงไปกะโถแน่นอน

สมมติถ้าเอาผ้าเช็ดที่รองโถแล้ว ก็เหมือนกับการถูเชื้อโรคที่มีอยู่เดิมให้ทั่วไปหมดแทนนั่นเอง

ถ้ายืนโย่ง ๆ โหย่ง ๆ ไม่นั่ง เชื้อโรคก็ลอยขึ้นมาอยู่ดี

พอออกมาจะล้างมือ ก็ต้องจับหรือกดที่เปิดน้ำก๊อก ไม่รู้ใครก็ใครมาจับนะเนี่ย

เล่นเนตตามร้านก็ยิ่งสกปรก คีย์บอร์ดไม่รู้กี่มือมาจิ้ม ๆ  ยังไม่นับอุปกรณ์อื่นนะเนี่ย

เอาไงดีนะ ไปเดินห้างก็มีแต่สารพัดเชื้อโรคลอยเต็มอากาศ

กลับบ้านก็ได้ ง่วง ๆๆ มานอน แว้ก ที่นอนสกปรกอีกและ ฝุ่นลงนิดนึง เอาเหอะนอน ๆ ไป

ตื่นขึ้นมา ไอ้หยา ทำไมตัวเราสกปรก ขี้ตาก็กรัง น้ำลายยืด ขี้ไคลก็ผลิตออกมาจัง ปากก็เน่า น้ำลายบูด

ปวดหัวมากเลย ทำไมตัวเราทำความสะอาดเท่าไหร่ก็สกปรกอยู่ดี

ทำไงดีเนี่ย เราอยู่ในโลกแห่งความสกปรกโสมม สกมก ทุเรศ อุบาทว์

แม้แต่ใจเราก็สกปรกจนคนมองเห็น ใครก็ได้ช่วยด้วย...ความสะอาดอยู่ที่ไหนนะเนี่ย... ^ ^

Tuesday, 6 February 2007

My first blind date

 


ว่ากันว่าคนเรายามแก่ชราขึ้น ก็มักจะนึกย้อนไปถึงอดีต ในฐานะคนแก่งั่ก ๆ อย่างผม  ก็ย่อมจะย้อนกลับไปนึกถึงอดีตตอนนัดบอดครั้งแรกด้วย ครั้งแรกมันเป็นอะไรที่ตื่นเต้น กลัว ระแวง กังวล วิตก โดยเฉพาะคนที่เรื่องมากอย่างผม  ก็ยิ่งวิตกจริตเป็นพิเศษ

ตอนนั้นผมอยู่มหา’ลัย ปีไรไม่รู้ รู้แต่ว่าหน้ายังละอ่อน ตอนนั้นก็คนมันไม่เคย ก็กังวลว่าเราจะดีพอมั้ย เค้าจะประทับใจเรามั้ย กังวลสารพัด  ขอเล่าอดีตขึ้นไปอีกนิด อารมณ์ตอนนั้นมันเหงามาก ๆ ไม่ต้องพูดยาวนะ ทุกคนคงรู้ว่าช่วงเหงาสุด ๆ มันแค่ไหน ผมก็ขวนขวายหาคนทางเนต แต่คุยทางเอ็ม มันก็ไม่ถูกใจ คุยทางโทรมันก็ไม่ถูกใจ ดูรูปก็ไม่ถูกใจ อะไร ๆ ก็ไม่ถูกใจ อารมณ์ตอนนั้นไม่ได้เรื่องมากแบบตอนนี้นะ แต่ว่ามันกลัวมาก ระแวงมาก มันเลยไม่กล้ากลัว เลยไม่กล้าเจอใครซะที

เข้าเรื่อง ๆ คนที่ผมเคยติดต่อ คุย ๆ หา ๆ มา ผมกลับไม่ได้ลองนัดเจอตัวจริงสักคน แต่ผมดันมานัดกับเด็กคนนึง ซึ่งโพสในเวปบอร์ด ผมเลยแอดเมลมาคุย คุยแปบนึงตัดสินใจไปเจอวันรุ่งขึ้นเลย (ครับ ผมใจง่ายแต่เด็ก ความเหงามันรอไม่ได้ครับ) ผมก็ไม่ได้เห็นรูปเค้านะ อารมณ์ตอนนั้นผมก็ไม่หื่น แต่มันอยากเจอใครสักคน ก็เลยตัดสินใจไปเจอน้องคนนี้ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ควรจะเจอคนอื่นที่เคยคุย ๆ มามากกว่าอีก ถ้าเทียบตามหลักเหตุผลว่าใครควรเจอก่อนเจอหลัง (ยังไงก็ขอบคุณน้องมาก ๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นการนัดบอดให้)  

น้องเค้ายังเรียนอยู่ปีหนึ่งปีสอง น่าจะยังเอาะ ๆ ก่อนเจอน้องเค้าบอกว่า หน้าตาเค้าญี่ปุ่นขาว ตัวเล็ก ประมาณเนี่ย ก็ไม่ได้โทรศัพท์คุยด้วยมากมายนะ พอน้องเค้าโทรมา ผมก็รีบตัดบทวาง ๆ คือกะจะนัดเจออย่างเดียว อย่ามาคุย กลัวตื่นเต้น คุยไม่ถูก ก็นัดเจอ ณ ห้างที่คนพลุกพล่านใจกลางเมือง สถานที่คือร้านหนังสือชั้นโรงหนัง (เล่าละเอียดมาก อิอิ)  วันนั้นผมก็ไปสายนะสักห้านาที ก็เดินผ่านร้านหนังสือแวบนึง ชะแว้บๆๆ พยายามสอดส่ายสายตา ประเมินเอาจากสัดส่วนที่น้องบอกมา ว่าตัวเล็ก ๆ สูงหนักเท่านี้ ไม่เห็นมีใครเข้าเกณฑ์ ยืนอยู่ตรงนั้นเลย ทำไงดีหว่า ยอมรับว่าปอดแหก กลัวจริง ๆ ขอย้ำอีกที คนมันไม่เคยนัดบอด

เข้าเรื่อง ๆ ต่อ ๆๆ ก็เลยลงไปชั้นไปสงบสติว่าจะไปเจอดีมั้ย ไม่กล้าโทรหา สักพักน้องเค้าโทรมาบอกว่า “พี่อยู่ไหน ผมถึงแล้ว” ก็บอกกำลังขึ้นไป แต่จริง ๆ คือขึ้นจนลงมาและ กลัว ๆๆ  น้องเค้าก็โทรมาหลายรอบ แบบไม่กล้าขึ้นไป ผู้คนดูพลุกพล่านจะเริ่มทักกันยังไง จะผิดคนมั้ย น้องจะเป็นผีป่าว ทำไมเรากลัวจัง เลยบอกให้น้องเดินลงมาได้มั้ยครับ แล้วช่วงนั้นผมก็รีบขึ้นไป กะว่าจะเดินสวนกับน้องเค้า (เห็นก่อนได้เปรียบ) ก็มีคนนึงเดินมา เห็นแล้ว ช็อค ผิดหวัง วูบ ๆ ปนกับความบ้าบอตื่นเต้น “คงไม่ใช่น่า” ผมคิดในใจ  แล้วน้องเค้าโทรมาอีก พี่ครับผมลงมาตรงชั้นนี้แล้ว เราเลยรีบตามไป สรุปกว่าจะเจอเลยเวลานัดไปชั่วโมงครึ่ง (ขอบคุณน้องที่อดทนกับคนวิตกจริต) แล้วก็ใช่เด็กคนที่เดินสวนแล้วทำเราช็อคจริง ๆ ด้วย

ก็ถามว่าน้องจะกินข้าวมั้ย จะดูหนังมั้ย สรุปว่าน้องเค้าอิ่ม (แต่ ตูนะหิวมาก ๆ ตื่นเต้นจนลืมหิว) หนังก็ไม่ดู (ดีแล้ว เพราะตอนแรกกะจะเข้าโรงให้มันพ้นสายตาคนอื่น จ บๆ กันไป) สรุปเลยไปเดินหาที่นั่งคุยกัน นั่งตรงที่นั่งสาธารณะ ก็นั่งคุย ผมก็เขิน และรู้สึกแปลก ๆ ประดักประเดิด (ยอมรับ ว่าไม่ชอบน้องเค้าแต่แรกเจอ แต่เอาวะมาทำหน้าที่ ต้องทำให้มันจบ แฟร์ ๆ ดี) ก็คุยไปมา สรุปว่าน้องเค้าถามว่า เค้า บลา ๆๆๆ มั้ย ผมก็เออ ดี ว่าไรว่าตามนั้น เวลามันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน อยากกลับบ้าน (ตูเป็นผู้ใหญ่กว่าแต่กลัวเด็ก แง้ ๆ) น้องเค้าก็ถามว่า “พี่ตื่นเต้นกลัวไรครับ” (รู้ทันเราอีกนะ ตอนนั้นฟอร์มไม่อยู่จริง ๆ) “พี่เป็นแฟนกับผมได้มั้ยครับ” (น้องช่างกล้าหาญมาก) เลยตอบไปว่า “เป็นพี่น้องกันดีกว่านะ” ตามด้วยโกหกว่า “พี่มีแฟนแล้ว” เฮ้อ โล่ง 

แล้วก็เดินไปส่งน้องเค้าป้ายรถเมล์ ส่วนน้องเค้ามีท่าทีชวนไปหอ (เค้าอยู่คนเดียว) เราก็พูดกันไว้และเลิกรากลับบ้าน แต่น้องก็โทรมาหาอีก แรก ๆ ก็คุยด้วยความเกรงใจ รู้สึกผิด ก็ปกติเวลาไปรู้จักใคร เราไม่เคยเสียมารยาทก็ต้องตอบสนองกลับสิ แต่โทรมาถี่ ๆ เลยไม่รับมันและ ไอ้เจ้ามือถือเฮงซวย (โทษ ๆ อุปกรณ์ ฮ่า ๆ) ครั้งสุดท้ายที่รับโทรศัพท์ น้องเค้าโทรมาด้วยเสียงกระเส่าว่า “ พี่ครับผมเหงามาก ๆ พี่มาค้างหอผมมั้ยครับ” โต้ตอบกันไปมา บอกว่ามีแฟนแล้ว บอกว่าไม่ว่าง น้องเค้าก็บอกให้มาคุยกันเฉย ๆ มาหาผมที่หอหน่อยนะ  ตอนไหนก็ได้

ณ เวลานั้นยังอ่อนต่อโลกมาก ยังมึนตึบได้แต่หนีหายตัดขาดไปจากน้องด้วยความกลัว แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ตอนนี้ จะขอวิจารณ์น้องว่า   “น้องช่างกล้า หน้าตาไม่ดี ตัวเล็กแทบลมปลิว ตัวเล็กมาก สาว ๆ แล้วมาบอกไม่สาว มีหน้าชมตัวเองว่าเป็นเด็กขยันอีก บุคลิกก็น่ากลัว หื่นก็ใช่เล่น ใจกล้าก็ใช่น้อย” (ปากจัดก็ยอมรับเหอะ มันความจริงนิ)

ตอนนี้ผมก็(คิดว่า)ตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้วระดับนึง มาคิด ๆ ดูเรื่องเก่า ๆ อยากจะบอกว่า ไม่ใช่น้องหรอกที่ไม่ดี แต่ผมเองที่มันห่วย แล้วยังมีหน้าไปตัดสิน ดูถูกคนอื่น คนเราจะเป็นยังไงก็ช่าง การนัดเจอกัน มันก็เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเอง เราเลือกไปเจอเอง คาดหวังมากเอง จะไปโทษอีกฝ่ายทำไม (แต่บางทีก็ต้องโทษมั่งหละ)

อีกทั้งอุดมคติ มโนธรรมที่เคยคิดไว้ว่า เราไม่มองคนจากหน้าตา เรามองคนจากนิสัย จิตใจ มันก็พังทลายลง (ไม่ใช่พังเพราะน้องนะ พังเพราะประสบการณ์หลายคนที่เจอมา)

ผมเลยค้นพบตัวเองว่า ผมมองคนจากหน้าตา รูปลักษณ์ด้วย ถ้าจะพูดให้มันดูดีก็คือ มันเป็นองค์ประกอบส่วนนึงที่มองข้าม(ยัง) ไม่ได้รวมกับนิสัย ใจคอและจิตใจด้วย  เฮ้อ...นิสัยดีอย่างเดียวมันไม่พอจริง ๆ สำหรับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน มันเป็นการยอมรับความจริงกับตัวเอง หรือว่าเราไหลไปตามกระแสแบบที่คนอื่นทำนะ อยากให้มีคนดี ๆ เยอะ ๆ ที่ยึดถืออุดมคติเหมือนอดีตที่ผมก็เคยคิดยังงั้นจัง เฮ้อ...

Monday, 29 January 2007

ทำดีย่อมหวังผลตอบแทน


ใครบังอาจกล้ามาบอกว่าตัวเองทำดี โดยไม่หวังผลตอบแทนมั่ง

ทุกคนบนโลกนี้ล้วนทำดีเพื่อต้องการผลตอบแทนกันทั้งนั้น

ขอถามหน่อยว่าเวลาคุณทำดี คุณทำไปเปล่า ๆ โดยไม่หวังอะไรตอบแทนจริง ๆ เหรอ คิดดี ๆ นะ

ตอนคุณไปทำบุญ เพราะเป็นวันเกิด หรือ เพราะรู้สึกมีเคราะห์ โดยทำเฉย ๆ ไม่คิดหวังอะไรทั้งสิ้นรึเปล่า

คุณให้เงินขอทาน เพราะว่าคุณสงสารเค้า เห็นใจเค้า เวลาให้ไปมันรู้สึกอิ่มเอมทางจิตใจใช่มั้ย

เวลาคุณไปกินร้านอาหาร คุณให้ทิปไปเพราะคุณให้ตามมารยาทหรือว่าให้ไปเพราะเคยชินหรือเพราะอะไร

เวลาคุณลุกให้คนนั่งบนรถเมล์ เพราะคุณอยากช่วยเหลือเค้าจริงรึเปล่า

เวลาคุณช่วยเพื่อนทำงานกลุ่ม คุณเสียสละกว่าเพื่อน แล้วคุณเคยนึกน้อยใจใช่มั้ย ทำไมเพื่อนไม่เห็นความดี
คุณให้เงินพ่อแม่ เพื่อตอบแทนบุญคุณ ทำตามหน้าที่ลูก เพราะอยากให้พ่อแม่รู้สึกดี และตัวเองรู้สึกดีใช่มั้ย

คุณขยัน เพราะคุณหวังจะก้าวหน้า หรือเจริญขึ้นใช่มั้ย

อ่านมาพอจะนึกอะไรออกรึยัง

ผมเคยลุกให้เด็กบนรถไฟฟ้านั่ง แต่เค้าไม่นั่งเพราะกำลังจะลงป้ายถัดไป

พอคนอื่นขึ้นมาก็มอง ผมก็อายคนอื่น (ทั้งที่จะอายทำไม) เพราะเหมือนเราไม่มีน้ำใจ

เด็กเล็ก ๆ ยืนกะแม่ เรากลับไม่ลุกให้นั่ง

ผมเคยไม่ทิ้งขยะ เพราะแถวนั้นมันไม่มีถังขยะ แล้วบริเวณนั้นดูสะอาด (เลยไม่กล้าทิ้ง)

ขณะที่บางที่ไม่มีถังขยะ แต่ผมก็ทิ้งลงพื้นไปกอง ๆ รวมกับขยะเดิมที่คนอื่นทิ้ง

ผมเคยทำดีอะไรบางอย่าง ผมหวังแค่คำขอบคุณ แต่ก็คิดในใจว่าเค้าไม่มีมารยาทแค่ตอบขอบคุณ

ที่ผมยกตัวอย่างของตัวเองมา นี่ก็คือ ผมทำดีแล้วต้องการผลตอบแทนยังไงหละ

หรือจะพูดให้ถูก ผมไม่ได้ทำดีหรอก ผมแค่ทำตามสิ่งที่คนอื่น ๆ เค้าเห็นว่าสมควรทำ

การทำดี ไม่ต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ กอบกู้โลก ช่วยชีวิตคน  ทำเรื่องเล็กน้อย ๆ

ได้มันก็มากพอแล้วสำหรับคน ๆ นึงในแต่ละวันแล้วหละ

และการที่ไม่รบกวนใครไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ยังไม่ถือว่าทำดี

คนเราจะดีหรือเลวออกมาจากการกระทำ

ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราทำดีนะ (แต่ก็ดีกว่าทำเลวหละ)

 จริง ๆ แล้วคนเราทำอะไร ก็มักจะมีความคาดหวังในสิ่งตอบแทนกลับมาเสมอแหละ

คงไม่มีใครบอกว่าเราทำอะไรไปโดยมีจิตใจว่างเปล่า ทำไปแล้วไม่มีเหตุผลหรอกนะ

(ไม่ต้องมาอ้างว่ามีพระพุทธเจ้า เทวดา ผู้ประเสริฐสุดในโลกไรงี้นะ พูดถึงคนธรรมดาสามัญอย่างเรา ๆ )

 ทุกอย่างมันมีเหตุก็ต้องมีผล ถึงแม้บางทีเราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุอะไร ผลอะไรก็ตามเหอะ  

 คนทั่วไปบางคนอาจทำดี เพราะใจอาจหวังหรือต้องการวัตถุ สิ่งตอบแทน คำพูด กิริยาดี ๆ กลับมา

 ซึ่งอาจจะต่างกับคนดีจริง ๆ ที่เค้าทำดี เพราะเค้าอยากแค่รู้สึกดีในจิตใจของตัวเองแค่นั้นก็เพียงพอแล้วไง

เห็นรึยังว่าคนทุกคนทำความดีก็ต้องหวังได้รับผลตอบแทนเสมอ จริงมั้ย ^ ^

ฟุ้งซ่าน


เฮ้อ...............

เคยมั้ย อยู่เฉย ๆ ก็เหม่อลอย เคว้งคว้าง อะไรที่มีก็เหมือนไม่มี

บางทีก็อยากจะน้ำตาไหลพราก ๆ ไปเลย แบบไม่มีเหตุผล

ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่ออะไร

ทำไมเราต้องดิ้นรนกับอะไรต่าง ๆ นานา

ทำไมความต้องการของเราบางทีก็มีสิ้นสุด บางทีก็ไม่รู้จักพอ

ทำไมบางทีก็ปลงตก บางทีก็สิ้นหวัง

แต่บางทีก็มีความหวังเหลือเกิน

มองโลกในแง่ดีเพื่อให้ตัวเองมีความสุข

หรือมองโลกในแง่ร้ายเพื่อให้จิตใจเราเป็นทุกข์

ทำไมคนเราถึงมีความแตกต่างกันหลายอย่างเหลือเกิน

จิตใจ ความรู้สึก อารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้หรือเป็นสิ่งที่เรากำหนดเองได้

ทำไมคนบางคนไม่มีอะไรถึงได้มีคุณค่ามากมาย

ขณะที่บางคนที่มีอะไรมากมาย แต่กลับไม่มีค่าอะไรในสายตาบางคน

ความสุขของคนเราเกิดจากความสุขทางจิตใจ

แล้วความสุขทางจิตใจของคนเราก็เกิดจากผู้คนรอบข้าง

ความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ มีผลทางจิตใจต่อใครหลายคน

ขณะที่ใครหลายคนมองเป็นเรื่องไม่สำคัญ

เรื่องไร้สาระของใครบางคน อาจเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับใครบางคน

คนบางคนแสดงความเศร้าออกมาโดยการเรียกร้องความสนใจกับคนที่ตัวเองแคร์

ขณะที่บางคนอาจจะแค่อยากซ่อนความเศร้าไว้เงียบ ๆ ในใจคนเดียว

บางคนอยู่มีความสุขกับความรักที่ไม่หวือหวา

แต่บางคนต้องการความรักที่เต็มเปี่ยม

บางคนจะเห็นค่าเมื่อขาดสิ่งนั้นไป

และก็อีกหลายคนที่ไม่รู้จักแม้แต่ความรัก

บางคนมีความรักแต่ไม่แสดงออก

ขณะที่บางคนเรียกร้องการแสดงออกมากมาย

เฮ้อ...........มีชีวิตมันก็เหนื่อยยังงี้เอง.....

คนขาดจินตนาการ

จินตนาการคือความคิดสร้างสรรค์ ความคิดฟุ้งซ่าน ทั้งที่เป็นความจริงและไม่เป็นจริง

เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนที่มาจากความคิดของเรา ไม่ใช่ความรู้ แต่ถ้าเราสามารถนำมาประกอบกับความรู้ที่เรามี

มันจะเป็นประโยชน์และข้อได้เปรียบอย่างมากในการใช้ชีวิต  

มันเป็นตัวประกอบช่วยพัฒนา EQ ให้ควบคู่ไปกับ IQ

คนบางคนคิดอะไรเป็นเส้นตรง ทำตามระเบียบกฎเกณฑ์ มันคือข้อดี แต่ถ้าไม่รู้จักยืดหยุ่น ความดีก็กลายเป็นความเลว ความฉลาดก็กลายเป็นความโง่ ความซื่อสัตย์ ก็กลายเป็นซื่อบื้อ

คนบางคนคิดเพ้อฝันไปทั้งวัน แต่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง จากศิลปินก็กลายเป็นคนไม่เอาถ่าน

คนสองคนดูหนังเรื่องเดียวกัน อาจจะได้ความสนุกต่างกัน บางคนอะไรซับซ้อนก็งง

อะไรซึ้ง อะไรไม่ตรงไปตรงมาก็งง (ต้องดูแต่หนังเตะต่อยอย่างเดียวพอ)

ขณะที่อีกคนอาจได้รับอรรถรสในการชมและความสนุกที่มากมาย

ภาพหนึ่งภาพเรามองว่ามันสวย แต่อีกคนอาจมองว่ามันห่วย

ของหนึ่งอย่างแต่ค่าก็ยังต่างกันสำหรับบางคน

บางคนอาจจะเก็บสะสม สิ่งของที่มีค่าเล็กน้อยมาก แต่มีค่าทางจิตใจ

แต่บางคนอาจจะมองว่าไร้สาระ ทำไมถึงทำ ก็เป็นได้

หนังสือมีหลายประเภท คนที่มองการ์ตูน นิยายเรื่องแต่งเป็นสิ่งไร้สาระ

หนังสือเรียนและความรู้เป็นสิ่งที่ควรอ่านเท่านั้น

คนที่ยึดติดกับหนังสือแนวที่ตัวเองชอบ ไม่คิดจะอ่านแนวอื่น

 คุณก็จะมองเห็นโลกแต่ในมุมของของคุณ

บางเรื่องมันเป็นเรื่องของรสนิยม แนวคิด คนที่มีพื้นฐานต่างกัน ก็จะได้รับการปลูกฝังแนวคิดต่างกัน

แต่บางทีมันก็เป็นเรื่องของจินตนาการเข้ามาเกี่ยวข้องจริง ๆ นะ

เกิดมาแล้วมีจินตนาการ + มีสมองอยู่บ้าง รับรองจะรุ่งเรื่อง มีความคิดสร้างสรรค์

 มีจิตใจกว้างไกล เข้าใจผู้คน  เจริญก้าวหน้า (ไม่ว่าจะด้านดีหรือเลว)

แต่รับรองว่ามีมาก ดีกว่ามีน้อยนะ

ถ้าใครอ่านแล้วงงว่าผมพล่ามอะไร แสดงว่ามีจินตนาการระดับต่ำ

ถ้าใครอ่านแล้วเห็นด้วย เข้าใจว่าจะพล่ามอะไร ก็แสดงว่า................... ฮ่า ๆ

Wednesday, 24 January 2007

ขอทาน


เวลาเดินไปไหนมาไหน ตามสะพานลอย ป้ายรถเมล์ ข้างทาง ตามตลาดนัด หลายที่หละ เราก็มีสิทธิ์เจอขอทานได้ง่าย ๆ จนกลมกลืนไปจนเฉย ๆ ชินตาแล้ว เพื่อนผมเวลาเจอขอทานนะ จะใจอ่อนต้องควักเงินให้ทุกทีเลย ส่วนผมไม่ได้ให้นะ ให้แค่บางคน นาน ๆ ที เพราะแถวปากซอยบ้านผมจะมีตายายแก่ ๆ มานั่งขอทาน แต่อวัยวะครบสามสิบสองนะ ก็เฉย ๆ นะ 

สงสัยผมใจร้าย แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าตอนเค้าหนุ่ม ๆ สาว ๆ เนี่ย เค้าคงขี้เกียจ หรือไม่ก็คงตกอับสุด ๆ เพราะก็คนรอบตัวอีกหละบางคนที่เค้าลำบากมาก ๆ ทำงานหนัก เงินน้อยอดทนมาก ๆ เค้าก็ยังทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพเลย โดยไม่ต้องมานั่งขอเงินชาวบ้านแบบนี้ ที่รู้สึกแย่ไปกว่านั้นคือ วันนั้นกลับบ้านดึกไง แล้วก็เดินแถวหน้าซอย ก็เจอรถกระบะหนะมีคนแก่แต่งตัวมอมแมมนั่งข้างหลังเต็มคัน มาจอดรับคุณตายายที่มานั่งขอทานเนี่ย เห็นแล้วยิ่งไม่สงสารเลย เล่นทำกันเป็นแกงค์แบบนี้

ขอทานบางคนจะสกปรกมอมแมมสุด ๆ แล้วยังจะพิการ มีเลือดช้ำหนองเละ ๆ ตามอวัยวะ บางคนแขนกุด ขากุด เห็นแล้วไม่อยากมองเลย  บางคนก็จะมีลูกผอม ๆ มาขอด้วย น่าสงสารนะ บางทีก็ให้เงินไป แต่ก็เคยได้ยินข่าวมาเรื่อย ๆ ว่าก็เป็นขบวนการเหมือนกัน แต่บางคนคงอนาจน่าสงสารจริง ๆ เห็นแล้วก็ได้แต่เฮ้อ ไม่รู้จะช่วยยังไง ให้เค้ามีชีวิตที่ดีขึ้น ได้แต่นึกเศร้าในใจและให้เงินไป บางครั้งนะบอกว่าหิว ๆ ก็ซื้อข้าวให้ไง แต่เค้าไม่เอานะ เค้าจะเอาเงิน โห ยังงี้หิวจริงป่าวเนี่ย เดี๋ยวเอาข้าวโปะหัวเลย (คิดในใจเฉย ๆ นะ ป่าวทำจริง อิอิ)

 แต่สมัยนี้ดิ ผมเจอมากับตัวเลย เป็นคนที่หน้าตาสะอาด เหมือนคนทำงานออฟฟิส แต่มาขอเงินบอกว่าไม่มีค่ารถไง เราก็ให้ไปนะ เพราะสภาพไม่น่าใช่ แต่ว่าก็แอบยืนดูก็เห็นเค้าขอทุกคนที่ดูน่าจะให้ได้แบบไม่สงสัย แสดงว่ากะขอค่ารถไปเมืองนอกเลยมั้ง (ขอแช่งให้หลุดไปนอกโลกเลย) คุยกับเพื่อน เพื่อนก็บอกว่าเดี๋ยวนี้เจอแบบนี้บ่อย ๆ พวกแต่งตัวดี แต่อ้างนู่นนี่แบบนี้

 สงสัยมาก ๆ ทำไมถึงเกิดมางอมืองอเท้า คนเราถ้าไม่ตายก็น่าจะขยันทำมาหากิน การนั่งเฉย ๆ มันน่าเบื่อ แล้วก็หาเงินง่าย ๆ โดยการใช้ความสงสารของผู้อื่นเนี่ย รายได้อาจจะเยอะ แต่ไม่แน่นอน (เอะ หรือแน่นอน) นั่นหละน่าจะอายตัวเองมั่ง 

อันนี้ด่าขอทานที่ยังมีทางเลือก แต่เลือกจะนั่งแบมือขอคนอื่นนะ แต่บางคนก็น่าเห็นใจ ขอให้หลุดพ้นไปจากวงจรนี้เร็ว ๆ ละกัน เพราะบางคนอาจเป็นคนพม่า หนีมา ก็ไม่มีบัตรอะไร คงมีโอกาสยาก หรือบางคนโดนบังคับ บางคนแม้แต่เริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง แม้แต่งานแย่ ๆ มันคงยาก เผลอ ๆ ที่อยู่อาจไม่มีด้วย เฮ้อ ไม่รู้จะช่วยไงเนอะ แต่ก็นับถือบางคนนะ เช่น คนที่ตาบอดแล้วร้องเพลง หรือเล่นดนตรีแบบนี้ 

น่าจะเห็นกันบ่อยนะ แบบเนี่ยสมควรให้เงินมาก ๆ เพราะยังทำมาหากิน ร้องไม่เพราะ (บางคน) แต่ก็ไม่ขี้เกียจ ทำตัวเป็นง่อย (ขอให้ง่อยจริง ๆ เลย ไอ้พวกขี้เกียจอะ) เห็นคนตาบอดบางคนขายลูกอม ขายลอตเตอรี่ ทำไมเค้าทำได้นะ  บางทีเห็นยายแก่ ๆ มานั่งถักอะไรขายแบบนี้ น่าปลื้มนะ คนแบบนี้

นั่นหละจบและ แค่บ่นตามประสาคนไม่มีอะไรจะทำ เพราะตอนนี้ก็เป็นภาระพ่อแม่อยู่เหมือนกัน แต่ป่าวเป็นภาระสังคมนะ อิอิ

Tuesday, 23 January 2007

เรื่องของ taxi


- taxi ขี้โกง แว้ก ๆๆ ขึ้นไปไม่ทันหายใจถึงสิบฟืด ราคาก็ขึ้นเอา ๆ จนต้องหายใจเพิ่มอีกร้อยฟืด บางทีก็วนไปวนมาอ้อม ๆ ยิ่งกินตังค์เข้าไปใหญ่เล้ยยยยย บางทีรู้ทางก็ทำงง ทำเลี้ยวผิด วนกลับไม่ได้ ร้ายกาจจริง

- taxi ขี้โม้ แว้ก ๆๆ ขึ้นไปจะนั่งเหม่อคิดถึงใครต่อใคร ก็ชวนคุยจัง ถามคำตอบคำ ก็ยังไม่ยอมหยุด เผลอ สุดท้ายถึงเราไม่พูด แต่เค้าก็จะพูดไม่หยุดเลย

- taxi ขี้โมโห แว้ก ๆๆ อารายกันเนี่ย  อะไรมาปาดหน้านิดนึง ด่าตัวเงินตัวทอง ไม่กล้าจะขัดใจเลย กลัวโดนด่า บางทีไม่มีไรมาขัดขวาง ก็หงุดหงิดใจกับรัฐบาลซะงั้น บ่นด่าใหญ่

- taxi ขี้โม้  แว้ก ๆๆ ทำไมถึงรู้มากไปหมดเลย ระเบิดใครวางก็รู้ เรื่องในวังก็รู้ เรื่องการเมือง เรื่องจิปาถะรู้ไปหมดเลย ทึ่ง ๆ ๆ

ฮ่า ๆ ตอนนี้หมดมุขและ นึกได้แค่นี้ คนขับ taxi เป็นอีกอาชีพ นึงที่มีความอดทน และขยัน และช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผมมาก ๆ เพราะใช้บริการบ่อยมาก ๆๆๆ (ยังไม่มีแฟนขับรถให้ก็งี้)  สงสารบางคนนะ พฤติกรรมที่เล่ามาข้างต้น ก็เป็นเพราะเค้าเครียด เค้านั่งขับรถคนเดียวนาน ๆ ไม่ได้พูดจากับใคร บางทีก็หิวข้าว บางทีก็ปวดฉี่ ปวดอึ ก็ไปไม่ได้ รถก็ติด ๆ ๆ แสนติด ขณะที่พวกเรารถติดเราก็สามารถลงจากแท็กซี่ แต่คนขับลงไม่ได้ ก็ต้องทนติดต่อไป   บางคันเก่าแสนเก่า ก็ไม่มีคนโบกขึ้น ทั้งที่เป็นรถของเค้าเองกลับไม่มีคนขึ้นก็คงขาดทุนพอ ๆ กับคนที่เช่ารถขับ แต่ต้องรีบคืนรถตามเวลา ทั้งที่ยังทำยอดไม่คุ้มกับค่าเช่าเลย  

คงเคยเห็นข่าวกัน ที่แท็กซี่ปล้น ฆ่า ข่มขืน ผู้โดยสารจนคนหวาดผวาต้องระวังตัว แต่ขณะเดียวกันก็มีโจรมาปล้นแท็กซี่อีกทีเหมือนกัน เพราะงั้นคนขับเองก็คงมีความเสี่ยงในด้านนี้ไม่น้อยไปกว่าผู้โดยสาร

แท็กซี่บางคันก็มีดีวีดีให้ดูบนรถด้วย บางคันก็มีหนังสือให้อ่านด้วย บางคันมีลูกอมให้กินด้วย อันนี้ผมเจอบ่อย ใครจะไปกล้ากิน กลัวโดนหลอกให้กินยาสลบ (จำใจต้องคิดร้าย แหม มันเสี่ยงไป)   แท็กซี่บางคันสกปรกมากเลยเพราะผู้โดยสารไม่มีสามัญสำนึก บางคันชอบมีขยะ ขนม เศษเปลือกอะไร เกลือน ๆ บนเบาะ บางคันมีคราบน้ำ ๆ (อาจเป็นเมนส์ ฉี่ราด คราบอึ อ้วก เหงื่อ หรืออสุจิ ฮ่า)

 -ผมชอบแท็กซี่ที่ใส่ใบเตยไว้ท้ายรถหอมดี

-ผมชอบคนขับแท็กซี่ที่เป็นผู้หญิง ดูเท่ห์ดี

-ผมชอบแท็กซี่ที่ทำท่างง พึ่งเคยขับ แล้วถามทางผม

แล้วจะบอกทำไมใช่มะ ฮ่า ๆ

ที่เขียนมาเนี่ย ไม่ใช่อะไร ไม่อยากให้มองข้าม อยากจะให้เห็นใจคนขับแท็กซี่กันบ้างนะ

Saturday, 20 January 2007

เมื่อเพื่อนผมขายตรง


นั่นแน่ งงหละดิ ขายตรงขายตัวไร หมายถึงขายสินค้า ผลิตภัณฑ์หนะ  หลายคนต้องเคยประสบพบเจอมั่งหละ พวกที่มีขายอาหารเสริม เครื่องสำอางต่าง ๆ รวมไปถึงสินค้าอื่น ๆ อาทิ เช่น ผงซักฟอก เครื่องกรองน้ำ  กล่องทัพเพอแวร์ ถุงน้ำร้อน ฯลฯ เอาเป็นว่าขายสารพัดเลย มีหลายยี่ห้อดัง ๆเลย   จริง ๆ ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร เพราะในสายตาผมคนที่ทำอาชีพเหล่านี้คือคนทำมาหากินอีกอาชีพนึง บางคนก็ทำเป็นงานหลัก บางคนก็ทำเป็นงานเสริม หารายได้เพิ่ม ขยันดีออกนะ 

แต่วิธีการนี่สิ บางคน ย้ำบางคนจะตื๊อแบบน่ากลัวจิต ๆ หรือน่ารำคาญ ไม่รู้จะทำไง ไล่(แบบสุภาพ) ก็ไม่ไป ตัดบทได้ไปครั้งนึงก็ยังมีการติดต่อมาสม่ำเสมอ ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่รำคาญเรา พูดจาดีเสมอ (ทึ่ง ๆๆ จริง ๆ)  ขั้นตอนการขายที่ผมรู้มาจากที่เจอนะ ก็น่าจะคล้าย ๆ กันหละ คือ อย่างแรกชวนซื้อของ พูดจนเราซื้อก็ได้ (ใจอ่อนเสมอ ฮ่า ๆ) เพราะก็ไม่แพงอะไร (ซื้อให้จบ ๆ อย่ามายุ่งกะตูอีกนะ) แล้วซื้อราคาสมาชิกด้วยนะ ถูกซะด้วย 

บอกว่าพี่ใช้ชื่อพี่ซื้อให้น้องจะได้รับส่วนลด พอเวลาผ่านไปก็มีการติดต่อมาเรื่อย ๆ โทรมาถามที มาหาโดยตรงเองเลยว่า เป็นไงของดีมั้ย มีนู้นนี้สินค้าใหม่ ๆ พอหลงไปนาน ๆ เข้า ก็ชวนสมัครเป็นสมาชิก เพราะราคาสมาชิกจะได้ส่วนลดไง แต่ข้อแม้คือ ต้องซื้อสินค้าในราคาขั้นต่ำต่อเดือนเท่านี้ ซึ่งไม่ถือว่าไม่มากมายอะไร ถ้าเราใช้สินค้านั้นอยู่แล้ว แล้วคุณภาพก็ดี แต่บางทีถ้าเราอยากเปลี่ยนยี่ห้อมั่งหละ เราก็ต้องพยายามซื้อ ๆไรมาให้ยอดมันถึงไง (ลืมไปแล้วด้วยว่า ถ้าทำยอดไปเนี่ยจะได้ประโยชน์อะไร สะเพร่าเนาะ) เริ่มไม่เต็มใจนิดหน่อย ไม่ซื้อก็ถามว่าทำไม ของไม่ดีเหรอ โทรมาเจ๊าะแจ๊ะถ่อมาหาถึงบ้าน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  นาน ๆ มาที แต่มาหลายครั้งมันก็เริ่มรำคาญไง แต่ก็เข้าใจนะว่าอาชีพแบบนี้จะให้ทำยังไง คนขายเก่ง ๆ ขยัน ๆ ก็รวยไป ก็แล้วแต่เทคนิคแต่ละคน บางครั้งก็มาชวนให้ผมขาย ให้แนะนำต่ออีกตะหาก

 เรื่องมันเกิดตรงที่ว่าเพื่อนในกลุ่มผมที่ก็คุยกันมา ไปเที่ยวด้วยกัน ถึงไม่สนิทมาก แต่ก็ไม่น้อย มาเข้าสู่วงจรพวกนี้หนะสิ ก็ตามขั้นตอนเลยหละ มีคนมาชวนไปประชุม เข้ากลุ่มให้ลองไปฟังดู เพื่อนผมก็ไปไง เค้าก็ยังมาเล่าเลยว่าเนี่ยน่ากลัว พวกนี้จะเอาคนที่ขายได้ยอดสูง ๆ ประสบความสำเร็จมาพูด ๆ จูงใจ ใครโน้มน้าวง่ายหรือจิตอ่อนคงหลงไปบ้าง (เอ่อ นี่พูดออกแนวอคติ นิดหน่อยนะ อย่าว่ากันหละ) เพื่อนผมเค้าไม่ชอบจะหนีออกมา ก็ดูจะยากลำบาก กดดันทั้งด้านอารมณ์และคนรอบข้างราวกับว่าถ้ามึงหนีออกไปมีเรื่องแน่ ฮ่าๆ โอเค เรื่องนี้ก็ผ่านไป แต่ไหงไป ๆ มา หลังจากเวลาผ่านไปนาน ๆ ผมกับเพื่อนก็ห่าง ๆ กัน วันนึงเพื่อนคนนี้หละ โทรมาชวนไปประชุม ไปลองฟัง  

โทรมาหลายครั้ง จนผวาไปเลย อย่างไม่น่าเชื่อ บางครั้งก็ขายของว่าสนใจตัวนี้มั้ยไรงี้ พูดคุยนิดหน่อย แล้วเข้าประเด็นขายของเลย (ขายไม่เนียน ๆ เลย)  มากระทบกระเทียบตูอีกว่า ตกงาน หางานอยู่ ว่าง ๆ น่าจะลองไปฟังประชุมซะหน่อยนะ  คือถ้าเพื่อนกันเอง แล้วมาขายของเนี่ย ผมก็ไม่ได้อคตินะ แต่ว่าการพูดจา ไม่มีความกันเอง พูดแบบคนอื่น ๆ ที่มาขายของเราที่ต้องมีการเสแสร้งนิดหน่อยไรงี้ เออ ถ้ามาขายตรง ๆ ก็จะช่วยฟัง อาจสนใจได้ 

เหมือนเป็นคนละคนไปเลย อาจเป็นเพราะยังขายไม่เก่งมั้ง เลยไม่เนียนให้ผู้ซื้อตายใจ สรุปนิสัยเปลี่ยนไปเลย ไม่กล้าพูดคุยด้วยอีกเลย หนีเลย เลยถาม ๆ เพื่อนในกลุ่มคนอื่นว่าโดนแบบผมมั่งมั้ย สรุป โดนกันทุกคนถ้วนหน้า เลยหลีกห่างกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนของเพื่อนอีกที โห อะไรจะมีแรงบันดาลใจให้เพื่อนที่เคยพูดคุยกัน กลายเป็นคนอื่นได้ขนาดนี้นะ

มาคิดดูเอ ถ้าเราอยากทำมาหากิน ถ้าเราลองทำดูเป็นอาชีพ เสริม เราจะต้องทำแบบนี้มั้ย ก็คิดว่าคงไม่ แต่ไม่รู้จะขายใครออกมั้ย แต่ไม่รู้สิ อยากให้เพื่อนและคนขายอื่น ๆ บางคน ขายของได้เนียน ๆ สบายใจ น่าฟัง ไม่ใช่เหมือนถูกรุกราน จนไม่อยากเจอ  แต่ก็ตามหลักการ (ที่โมเมเอง) คิดว่า ถ้าเราทำแบบนี้กับคนยิ่งมากขึ้น หลายคน ก็ต้องมีหลงมาสักคนที่สนใจ เป้าหมายเค้าอาจเน้นปริมาณ เพื่อให้ได้มาซึ่งไม่กี่คน เพื่อต่อยอดออกไปเป็นลูกโซ่ก็เป็นได้

 ก็จริง ๆ อยากขายไร อยากทำไรก็ทำ แต่ถ้าเป็นเพื่อนตู มาขายของตูได้ แต่อย่ามากระแดะทำพูดจาเหมือนตูเป็นคนอื่น ๆ พูดจาไม่กันเอง วุ้ย อธิบายไม่ถูก เอาเป็นว่าเพื่อนตูอย่ามาขายของตูน่าจะดีที่สุดละกัน อิอิ

ตระเวนสัมภาษณ์งาน

 


ผมกำลังหางานใหม่อยู่ครับ ช่วงนี้ก็ตระเวนสัมภาษณ์ไปเรื่อย จะไม่เล่าถึงความช้ำใจที่ต้องตกงานหรอกนะ เพราะไม่ช้ำเลยโว้ย (ปลอบใจตัวเอง) ขอแนะนำเวปหน่อยละกัน ได้ไปสัมภาษณ์หลายที่ก็เพราะอันนี้ หลายคนคงรู้จักดี www.jobsdb.co.th พอดีไม่ได้ใช้เวปของอันอื่น เลยบอกแค่นี้ อันอื่นก็คงดีแหละ ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็มีพวกเอเยนต์หางานต่าง ๆ ก็สมัคร ๆ ไป ที่เหมือนกันตอนไป

สัมภาษณ์ก็คือ เอกสารต่าง ๆ ต้องเตรียมไป ไปยื่น ๆ คงไม่ต้องบอกนะ (ใครไม่รู้ก็ไม่ต้องได้งานและ) แล้วก็แต่งตัวก็ให้ดูดีเรียบร้อยหน่อย ความหล่อก็ไม่ต้องเตรียมไรมาก (มีมากล้นทะลักจะหมดอยู่แล้ว อิอิ) ที่จะเล่าคือสภาพที่ทำงานในออฟฟิส มีหลายแบบมาก ที่ไปมา ก็มีแบบหรู ดูดีมีสกุล อินเตอร์ คนดูฉลาด (หมายถึงความรู้สึกที่ไปนั่งรอนะ ) 

อยู่ในตึกสูง บางที่ก็เป็นตึกแถวแบบเจ็ดแปดชั้น ของตัวเองหรือเช่าก็ไม่รู้ บางที่ก็แค่ห้องเดียว เช่าเค้าเอา บางที่ก็เป็นเหมือนทาวเฮ้าส์  บ้านคน  ส่วนการที่ถ่อเสียสละเวลาอันมีค่าไปเนี่ย นอกจากไปเพื่อหวังได้งานแล้ว มันก็เป็นเลือกของเราแบบดูของจริงด้วย ไปดูว่าทำเลรอบข้าง สถานที่การทำงาน ผู้คน ระบบอะไรขั้นต้นที่มาเกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์เนี่ย ว่าเป็นยังไง ถึงเราเป็นผู้สัมภาษณ์ที่ง้อของาน (ไม่ใช่ขอทานนะ )ก็จริง แต่ก็เป็นผู้เลือกและมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะเอาเค้ารึเปล่าด้วย  มาเริ่มจากองค์ประกอบที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับตัวงานนะ 

จะพูดถึงแต่ในแง่ไม่ดีนะ อันแรกคือสถานที่ บางที่นะ ไปลำบาก เดินทางไกล หาของกินยาก (คิดมาถึงนี่เลย ฮ่า ๆ) บางที่เล็กไป สถานที่แคบ บางที่ดูไม่น่านั่งทำงาน สกปรก  บางที่ห้องสัมภาษณ์ก็ไม่มี ก็ชั่งใจเอาเองว่าจะเอามั้ย  ต่อมาระบบในบริษัท ดูคร่าว ๆ หนะ มันดวงด้วย บางที่ดูดีเน่าในก็เยอะ ก็ถ้านัดเวลาเราแล้ว คนสัมภาษณ์สาย ไม่อยู่ไม่ตรงเวลานานเกินไปกับที่นัดเราเนี่ย มันก็แสดงถึง.. นั่นหละขี้เกียจพูด บางทีใบสมัครดูไม่มาตรฐาน เอกสารไม่ดีกระจอกมันก็แสดงถึง..ขี้เกียจพูด  มาถึงคนมั่ง คนสัมภาษณ์เนี่ยวัดได้เหมือนกันนะ  การทำงานไหน มันก็ต้องมีหัวหน้าหรือซีเนียร์มาสัมภาษณ์ใช่มั้ย ก็พวกนี้หละที่เราต้องร่วมงาน ไม่ต้องไปนับ HR นะ ไม่ค่อยเกี่ยว  

 ก็ต้องดูวิสัยทัศน์ (พูดซะหรูเลย) และความคิดเค้าด้วย พูดให้เค้าแสดงความเห็นออกมา จะได้รู้ว่าลักษณะงานเป็นยังไงแนวไหน ในด้านอารมณ์นะ ตัวงานเนี่ยเค้าคงบอกอยู่แล้วหละ ให้ทำอะไร เค้าอยากได้คนแบบไหน อย่าพูดมากรู้มากเกินหละ รู้มากในใจพอ ไม่งั้นคนหมั่นไส้ได้  เอามีความรู้แบบมีกาลเทศะพอ แต่ถ้าตัวงานมันต้องมั่นใจ ก็แสดงไปเยอะ ๆ  การสัมภาษณ์มักจะปิดท้ายด้วยคำถาม “มีไรจะถามมั้ย ครับ/ค่ะ” ต้องรีบถามเลย แบบสุภาพ (แต่ใจอยากรู้อยากเห็นสุด ๆ ) เรื่องงานว่าฐานเงินเท่าไหร่ บางคนพูดเรื่องงานซะสวยหรูเลย แต่ให้เงินหมื่นนึง มันไม่ไหวนะ มีไรสงสัยจงถามแต่พองาม อย่าตะกละ เช่น “คนทำงานแผนกนี้มีกี่คน” “บริษัทมีกี่คน” “รับเพิ่มขยายงาน หรือรับแทนที่คนอื่น” “เงินเดือนเท่านี้ได้มั้ย” “จะเรียกหรือรู้ผลเมื่อไหร่” 

ถามที่ใจต้องการแบบสุภาพ ๆ นะ ดูสถานการณ์ บางอันถามมันน่าเกลียดสำหรับบางคนหรือบางสถานการณ์ต้องถามก็ถาม บางทีเราร้อนใจอยากรู้ผลเร็ว ๆ ก็พูดตรง ๆไป แต่ถ้ารู้ว่าเค้าคงไม่รับเราแน่ ไม่มีลุ้น หรือเราไปแล้วไม่ถูกใจ แต่ไหน ๆ ไปแล้ว  จงอย่าพูดมากตอบตามสมควร ไม่ต้องไปถามไรเพิ่มเติม บางทีอยากเตะคนไหน เหม็นขี้หน้าคนไหน ก็จงเก็บอาการ และมั่นใจเข้าไว้หละดีเอง บางทีเค้าก็อยากดูอารมณ์เราไปงั้น ๆ   คนสัมภาษณ์บางคนไม่ได้ฉลาดอะไร ถามแบบตามเสตป แค่นั้น ดูเฉื่อย จงคิดในแง่ดีไว้ ...เค้าโง่ ๆ ๆ ...เราต้องแสดงความมั่นใจ หลอกล่อเค้าซะ อย่าไปคิดในแง่ร้ายว่า.. เค้าไม่สนใจตู เค้าไม่สนใจตู ...เลยถามไปงั้น ๆ เพราะเราไม่อาจรู้ได้ ต้องมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน

เอ้อ ที่บอก ๆ มา แค่องค์ประกอบเล็กน้อยมาก ๆ ที่อยากให้คำนึงบ้างไปงั้น ๆ ประกอบการตัดสินใจจะเข้าทำงาน  ทุกอย่างแล้วแต่เราพอใจ บางที่อาจไม่ดีพร้อม ภาพพจน์ไม่ดี แต่อยากทำ น่าทำ รู้สึกดี ก็ทำไป ที่เล็กเงินมาก ที่ใหญ่ ๆ เงินน้อยแต่มีชื่อเสียง เลือกเอาเหอะ บุคลิกเราก็ไม่ต้องไปปรับไรมาก งานไหน งานนั้น แล้วแต่คนรับ แล้วแต่งาน (แค่ทำตัวให้เหมือนคน ก็พอ อิอิ ทำยากอยู่นะ) 

บางคนเตรียมตัวตอบมาแบบเปะ ๆ ๆ เป็นขั้นตอน แต่ไม่ธรรมชาติ ก็ยังดูไม่ดีเท่าตอบแบบซื่อ ๆ นะ เค้ายังอาจเอ็นดูได้มากกว่าอีก  เรื่องการสัมภาษณ์มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว บุคคลแบบนึง ก็อาจเหมาะกับงานแบบนึง แล้วยังต้องแล้วแต่คนสัมภาษณ์เราว่าพอใจเรามั้ย ถูกชะตาเรามั้ย แล้วตัวเรามีไรดีมากพอตรงความต้องการมั้ย หรือเค้าเปิดโอกาสให้เราเข้าไปทั้งที่เราไม่มีประสบการณ์ด้านนั้น ๆ หรือมีคู่แข่งเยอะมั้ย ไม่ใช่ที่ดีเลิศจะเหมาะกับเรา ที่ห่วยในสายตาคนอื่นแต่เราพอใจก็คือดีที่สุด ส่วนถ้าเค้ารับเข้าไปทำงานแล้ว ก็ตัวใครตัวมันละกัน จบ

Friday, 19 January 2007

ติดเนต


นั่งเล่นเนตบ่อยมาก  ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ช่วงนี้ คิดแล้วมันอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ขาดไม่ได้ จะลงแดง (ในบางเวลา) แล้วทำอะไรหนะเหรอ ก็ดูรูปโป๊โหลดหนังโป๊ อันนี้แต่ก่อนชอบทำสมัยวัยหื่น ๆ เดี๋ยวนี้ก็ยังโหลดบ้าง แต่เฉย ๆ มากกว่า คงดูมาเยอะแล้วมั้ง (แต่ยังไม่ตายด้านนะเออ) หลัก ๆ คือเช็คเมลล์ คุย msn อ่านกระทู้ อ่านเวปไปเรื่อย ๆ เล่นเกมออนไลน์ เล่นทีก็ใช้เวลามาก ๆ ๆ เลย   

เหตุผลที่เล่นก็ไม่มีไรทำ แก้เหงา ฆ่าเวลา จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ตอนแรกก็คิดเหตุผลว่าที่เราเล่นเนี่ย เพราะไม่มีไรทำไง ก็เล่นเนตซะเลย แต่ที่ไหนได้ ไป ๆ มา ๆ ถึงจะมีอะไรทำ ถึงจะยุ่ง ถึงออกไปข้างนอก ก็อดไม่ได้กลับมาเล่นซักนิดหน่อยก็ยังดี ให้ชุ่มชื่นหัวใจ (อันนี้พูดให้ดูเวอร์ ๆ) บางทีมาเปิดไว้ แล้วก็ไปดูทีวีทำอย่างอื่น แต่ก็มาเปิดให้เสียค่าไฟเล่น ๆ  เลยมานั่งคิดว่าเหตุผลจริง ๆ คืออะไรเหรอ 

ก็ได้คำตอบที่(ตัวเราเอง) ไม่อยากฟังออกมา คือ เพราะไม่มีแฟน เพราะไม่มีแฟน เพราะไม่มีแฟน  ที่ย้ำเพราะมันมีส่วน เพราะสมัยที่ยังรุ่งเรือง(สมัยมีแฟนนั่นหละ) ก็ไม่ค่อยมาเล่นเนตไรมาก แทบไม่เล่นเลย ไม่มีอารมณ์ แต่ก็สงสัยเหมือนกันทำไม(อดีต)แฟนถึงติดเนตจัง เคยถามเค้าก็บอกมาว่า 

เค้าคุยเอ็มกับเพื่อน แล้วเค้าก็มีเวปประจำในเรื่องที่สนใจ ที่เค้าชอบไปอ่าน เพราะมันมีเวปบอร์ดไง ก็เข้าใจนะ แต่ตอนนั้นตัวเราเองกลับไม่ติดมากมายนะ แต่ตอนนี้สิ เฮ้อ.......อีกเหตุผลคือ เหงา (โอ้ย เหตุผลนี้ก็น่าอาย ไปบอกเพื่อนว่าเหงานะ มันคงหาว่าเปลี่ยวมากกว่า ฮ่าๆ ) บางทีคนเราก็ต้องมีโลกส่วนตัว ซึ่งหนทางที่จะบรรลุโลกส่วนตัวได้ในบางเวลา ก็คือ การเล่นเนตไง (ถ้าอ่านแล้วเข้าใจ  ก็คือบรรลุแล้วนะ ^ ^)  ส่วนพวกเช็คเมลอะไรปกติ หรืออ่านข่าว อ่านเรื่อง อ่านกระทู้อะไรทั่วไป มันไม่ใช่เหตุผลเท่าไหร่ที่มาเล่นโดยใช้เวลานานแบบที่ทำอยู่ขนาดนี้ เพราะพวกนี้ก็เหมือนกับเราอ่านนสพ. ดูข่าวอะไร เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างนึงทั่วไปแค่นั้น 

เล่นเนต ก็ต้องมีโฮกาสได้คุยกันทางเนต การได้คุยกับคนในเนตนี่เป็นเรื่องดีนะ ถ้าคนไหนคือเพื่อน ๆ เราที่เจอหน้ากันอยู่แล้ว บางทีคุยกันทางเอ็ม ทางเมล มันก็ทำให้ไม่ขาดการติดต่อ แล้วก็ไม่รบกวนกันด้วย ถ้าไม่อยากคุยก็ไม่ต้องตอบ ไม่เหมือนการพูดคุยจริง ๆ แล้วก็บางเรื่องที่มองหน้าแล้วพูดไม่ออก นึกไม่ออก กลับพูดได้ (เอ ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบผมมั้ยเนี่ย) ส่วนคนที่เราไม่รู้จักแล้วคุยกันเนี่ย ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์หาเพื่อนหาแฟน คุยเล่น ๆ ไรก็ตาม บางทีมันแก้เหงา มันได้ระบาย บางทีมันก็สนุกดีเพลิน ๆ บางทีก็ได้เป็นเพื่อนกันจริง บางทีก็มีการช่วยเหลือที่เราคาดไม่ถึง ว่าคนแปลกหน้าจะช่วยเราได้ เช่น ถามเรื่องอะไร ก็ช่วยตอบ ช่วยหาข้อมูลอย่างจริงจัง เป็นต้น 

จริง ๆ เล่นเนตนาน ๆ เนี่ยก็มีข้อเสียต่อร่างกายเหมือนกันนะเนี่ย คือ ไม่ได้ขยับตัวมาก สายตาเสีย แต่คิดว่าข้อเสียด้านจิตใจไม่น่ามีไรมาก ถ้าไม่หมกหมุ่นมาก และเป็นคนโรคจิตอยู่แล้ว ก็คงมีความสุขดีหละ

เคยมั้ยเวลาอ่านกระทู้ต่าง ๆใ นเวปบอร์ด หรือคุยกับคนแปลกหน้าทางเนต ถ้ามีอะไรที่เราไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ตรงกับเรา เราก็มักจะคิดว่า เฮ้อ ก็แค่คนในเนต คนในเนตก็งี้หละ พูดในทำนองแย่ ๆ  อันนี้หมั่นไส้ส่วนตัว ขอด่าหน่อยเหอะ พวกที่มานั่งบ่นว่าคนอื่นแบบนี้ ลืมดูตัวเองว่า แล้วแกไม่ได้เป็นมนุษย์คนนึงที่เล่นเนตอยู่เหรอ ไม่ใช่เทวดามาจากไหนเหมือนกัน ทุกสังคมก็มีดีเลวปะปนกันไปนั่นหละ เหมือนกับคุณที่โลกแคบอยู่ไง (ผมว่าคนอื่นนะ ไม่ได้ด่าตัวเอง ไม่ต้องอ่านแล้วสะใจว่าเข้าตัวผม ฮ่า ๆ)

 แต่เดี๋ยวนี้อะไรมันก็ต้องใช้อินเตอร์เนตหละนะ มันขาดไม่ได้อยู่แล้ว แต่ขาดไปคงไม่ตาย แต่อย่าขาดเป็นดี แค่อย่าเล่นให้มันมากมายแล้วกันเนอะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเยอะ ๆ มั่ง เพราะทำอะไรอย่างเดียวมันก็คือความหมกหมุ่น ไม่ว่าจะด้านไหน เรื่องไหนก็ตาม ไม่ใช่แค่เนตหรอกเนอะ สู้ ๆ